จากการที่กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากร เตรียมจะจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Financial Transaction Tax) ในอัตรา 0.1% หรือล้านละ 1,000 บาท โดยเก็บเฉพาะการ"ขายหุ้น" และจะให้มีผลบังคับใช้ภายในปีนี้ อย่างไรก็ดีนักลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ ต่างออกมาคัดค้านเนื่องจากมองว่า ไม่แตกต่างกับการเพิ่มค่าคอมมิชชั่น โดยประเมินว่าการเก็บภาษีหุ้น จะส่งผลกระทบให้มูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) ลดลงอย่างน้อย 20-30% และจะเป็นการผลักดันนักลงทุนต่างชาติ ย้ายฐานไปเทรดยังตลาดหุ้นอื่น ทั้งนี้มูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 20 ล้านล้านบาท
ต่อเรื่องนี้นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าตลท.ได้ให้ข้อมูลกับทางการมาโดยตลอด โดยมีมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวอยู่ 3 ด้านคือ การจัดเก็บภาษีในอัตราที่เหมาะสม ประเภทของการซื้อขายที่ควรถูกจัดเก็บ และระยะเวลาที่ควรแจ้งล่วงหน้าให้ผู้ร่วมอุตสาหกรรมได้รับทราบ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาให้ครบถ้วนเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งระบบให้น้อยที่สุด
ทั้งนี้ ตลท.ได้มีการปรึกษาและประชุมกับผู้ร่วมตลาดหลายครั้ง เพื่อให้ข้อมูลและมุมมองแก่ทางการต่อประเด็นภาษีหุ้น รวมถึงทำการวิเคราะห์ให้เห็นผลกระทบในแต่ละเรื่องซึ่งไม่เฉพาะ ตลท.แต่องค์กรอื่นๆ เช่น สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) ได้เดินหน้าให้ข้อมูลแก่ภาครัฐเพื่อพิจารณาเช่นกัน อย่างไรก็ดีท้ายที่สุดแล้วภาครัฐจะเป็นผู้ดำเนินนโยบายและตัดสินใจว่าอะไรเหมาะสม
ก่อนหน้านี้ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้ ระบุว่า หากมีการเก็บภาษีขายหุ้นจริง คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน ผลกระทบต่อตลาดหุ้นเบื้องต้นคาดว่าสภาพคล่องอาจลดลงราว 20-30% โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ซื้อขายรายวัน และใช้โปรแกรมเทรด
อนึ่งสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)จะนัดประชุมกันในวันที่ 13 ม.ค.2565 เพื่อสอบถามความเห็นของผู้ร่วมตลาดทุนเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ สภาฯจะส่งหนังสือถึงกระทรวงการคลังในนาม FETCO