“อาคม” ปลื้ม “คนละครึ่งเฟส4” วันแรกคึกคัก! สะพัดกว่า 500 ล้าน

01 ก.พ. 2565 | 11:31 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.พ. 2565 | 19:06 น.

“อาคม” ปลื้ม “คนละครึ่งเฟส4” วันแรกคึกคัก หนุนเงินสะพัดใช้จ่ายช่วงตรุษจีน และร้านค้า กว่า 500 ล้านบาท ส่วนกรณีร้านค้าถอนตัวเพราะกลัวการเสียภาษีนั้น มองว่าเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องเข้าสู่ระบบภาษี

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง เปิดเผยว่า บรรยากาศการใช้จ่ายโครงการ คนละครึ่งเฟส4วันแรก คึกคักมาก ซึ่งพบว่าหลังเริ่มเปิดให้กดยืนยันสิทธิวันนี้ 1 ก.พ. 65 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. ก็มีผู้เข้ามากดยืนยันสิทธิ และเริ่มใช้จ่ายสิทธิในทันที เนื่องจากประชาชนรอคอยการใช้จ่าย ประกอบกับเป็นวันตรุษจีน ที่มีคนออกไปเที่ยวและไปใช้จ่ายกัน ถือเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ

 

“ร้านค้า ร้านอาหารกลับมาคักคักอีกครั้ง หลังจากบรรยากาศชะลอไปประมาณ 1 เดือน หลังจบคนละครึ่งเฟส3จึงเชื่อว่าในช่วง 3 เดือนตั้งแต่วันที่ 1ก .พ. - 30 เม.ย.65 การใช้จ่ายในประเทศจะกลับมาคึกคักอย่างแน่นอน ส่วนกรณีร้านค้า ที่ถอนตัว ไม่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เนื่องจากมีการเรียกเก็บภาษีนั้น เมื่อร้านค้าใดที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็มีหน้าที่ต้องเข้าสู่ระบบภาษี” นายอาคม กล่าว 

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ณ เวลา 16.00 น. วันที่ 1 ก.พ. 65 ซึ่งเป็นวันแรกของการใช้จ่าย ภายใต้มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 และโครงการ คนละครึ่ง ระยะที่ 4 พบว่าในการใช้จ่ายรวม 1,132.44 ล้านบาท จากผู้ใช้สิทธิ  5.44 ล้านราย ทั้งนี้แบ่งเป็น

 

1. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 2.89 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 573.54 ล้านบาท

2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 147,000  ราย มียอดการใช้จ่ายรวม 57.66 ล้านบาท

3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีผู้ใช้จ่ายจำนวน 2.4 ล้านราย จากผู้ยืนยันการใช้สิทธิ 16.93 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายรวม 501.24 ล้านบาทแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 253.43 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 247.81 ล้านบาท.