นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม และเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังติดปัญหาไม่สามารถกู้เงินเพิ่มได้
โดยมองว่าการปรับลดอัตราสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในช่วง 3 เดือนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมและเพียงพอให้กองทุนน้ำมันฯ ได้แก้ปัญหาเรื่องงบการเงินและสามรถเริ่มใช้วงเงินกู้ตามที่ ครม. ได้อนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ ที่ให้ก่อหนี้ได้ในวงเงินไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท
ล่าสุดคาดว่า งบการเงินของกองทุนน้ำมันฯ จะได้รับการรับรองจาก สตง. ประมาณช่วงเดือนมีนาคมนี้ และหลังจากนั้นกองทุนน้ำมันฯ จะสามารถเดินหน้าหารือกับสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อดำเนินการก่อหนี้ได้ทันที แต่หากไม่เป็นไปตามที่วางไว้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะประเมินสถานการณ์ร่วมกันอีกครั้ง
“รายได้ส่วนที่หายไปจากการลดภาษีน้ำมันดีเซลลง 3บาทต่อลิตร ในช่วง 3 เดือน ประมาณ 17,000 ล้านบาท เราแลกกับการที่ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ถูกกระทบด้วยต้นทุนทางด้านพลังงานที่สูงเกินไป ซึ่งจะส่งผลดีในภาพกว้างของเศรษฐกิจ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ กลับมาดำเนินการได้ ท้ายที่สุดก็จะกลับคืนมาในรูปแบบภาษี ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจโต รายได้จากการจัดเก็บภาษีจะโตมากกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว ซึ่งเราหวังว่าภาพนี้จะเกิดขึ้น” นายลวรณ กล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าการประกาศใช้อัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามในประกาศกฎกระทรวงแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งหากประกาศทันภายในวันนี้ (17 ก.พ.65) ก็จะมีผลบังคับใช้ทันทีหลังเที่ยงคืนคืนนี้