นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บลูบิค กรุ๊ป ( BBIK ) บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจร เปิดเผยถึง แผนลงทุนว่า บลูบิคเตรียมเดินหน้าลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพื่อสร้าง Upside ให้รายได้ระยะยาว รวมถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ
ทั้งนี้แผนในปี 2565 บริษัทฯเชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับปีก่อน คือ ไม่ต่ำกว่า 50% โดยขณะนี้บริษัทฯ มีแบ็กล็อกมากกว่า 385 ล้านบาทแล้ว และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2565 มากกว่า 245 ล้านบาท
“สำหรับแผนการลงทุน เราเห็นศักยภาพการเติบโตในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม จึงจัดตั้งบริษัท บลูบิค โกลบอล จำกัด ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 15-20% ในปีนี้ อีกทั้งยังดำเนินการจัดตั้ง Bluebik Technology Center ในประเทศอินเดีย เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและความรู้ทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนเป็นศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้าน IT โดยเฉพาะ มาช่วยเสริมทัพในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ” นายพชร กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าการยื่นขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI จะได้รับการอนุมัติและเริ่มใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ในครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยบริษัทฯ จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปีอีกด้วย
บลูบิค ยังมองหาโอกาสการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สามารถเสริมศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ อย่างยั่งยืน และสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้บริษัทฯ โดยก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อบริษัท จีเอ็มวีพาย จำกัด (GMVPI) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านระบบ SAP แบบครบวงจร ในสัดส่วน 80% เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้าที่ใช้ระบบ SAP ในการบริหารจัดการองค์กร
โดยวางเป้าหมายรายได้จากการควบรวมกิจการครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาทในปีนี้ และยังเดินหน้าขยายการลงทุนในแผนการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ภายในไตรมาส 1-2/2565 เพื่อเข้ามาเสริมแกร่งด้านบริการ และเป็นช่องทางในการขยายฐานลูกค้าในอนาคตอีกด้วย
สำหรับผลประกอบการปี 2564 บริษัทสามารถทำรายได้และกำไรเติบโตมากกว่า 50% โดยมีรายได้รวม 303.69 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 66.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 200.53 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 44.29 ล้านบาท พร้อมอนุมัติจ่ายปันผลหุ้นละ 0.375 บาท