ตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคม ยังมีความผันผวนสูง จากปัจจัยหลักคือ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยคนโยบายเป็นครั้งแรก ล่าสุดนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงยืนยันเดินตามแผนปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยเริ่มเดือน มีนาคมนี้ในอัตรา 0.25% รวมถึงปัจจัยในประเทศ ที่ต้องติดตามยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังเพิ่มจำนวนสูง
"ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล" รวบรวมกลยุทธ์ลงทุนจาก 3 โบรกฯ และหุ้นน่าลงทุนประจำเดือนนี้มีหุ้นตัวไหนบ้าง เริ่มจากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย ประเมินหุ้นไทยเดือนมีนาคม ทีี่กรอบดัชนี SET 1,655–1,750 จุด โดยให้น้ำหนักเรื่อง สถานการณ์ โควิด-19, ความเสี่ยงสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินของเฟดที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ในเดือนนี้
กลยุทธ์การลงทุน แนะสะสมหุ้นขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มกำไรฟื้นตัวเด่นหลังจากนี้พร้อมคาดหวังเม็ดเงินต่างชาติหนุน 7 หุ้นเด่น ( อัพไซด์ : คำนวณจากราคาปิด ณ วันที่ 3 มี.ค. 65 ) ได้แก่
บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น ( DTAC) ราคาเหมาะสม 63.40 บาท ( อัพไซด์ 31.40 )
บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ( BJC ) ราคาเหมาะสม 38.50 บาท ( อัพไซด์ 6.21%)
บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC ) ราคาเหมาะสม 86.50 บาท (อัพไซด์ 22.26%)
บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ( M ) ราคาเหมาะสม 63.00 บาท ( อัพไซด์ 16.13% )
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคมทิศทางปรับขึ้นดีกว่าหุ้นโลก (Outperform) เนื่องจากไทยได้รับผลกระทบจำกัดจากสถานการณ์ตึงเครียดยูเครน - รัสเซีย แต่จากความกังวลเงินเฟ้อที่พุ่ง ปัจจัยแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนสูง และโอกาสการปรับขึ้น (Upside) ตลาดเริ่มจำกัด โดยเฉพาะหากปรับขึ้นทะลุเกินกว่าระดับ 1,700 จุด
แนะนำกลยุทธ์เลือกหุ้นลงทุนเป็นรายตัว (Selective Buy) โดยหุ้นที่คาดว่าจะ Outperform ตลาด คือ
1) หุ้นงบไตรมาส 4/2564 ออกมาดี มีโอกาสปรับประมาณกำไรขึ้นเด่น คือ
2. หุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีราคายังขึ้นช้า (Big Cap, Value, Laggard) คือ
บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองกรอบดัชนี SET ในเดือนมีนาคมที่ 1660-1740 จุด โดยประเมินหากกรณีไม่เกิดสงครามลุกลาม ดัชนี SET จะไม่หลุดแนวรับหลัก 1,660 จุด อย่างไรก็ดีจากความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างประเทศ กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นคุณค่า (Value) และหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Play) ได้แก่ น้ำมันและ Commodity ต้นน้ำ ธนาคาร ค้าปลีก อสังหาฯ การแพทย์ซึ่งคาดว่าจะแกว่งตัวได้ แข็งแรงกว่าตลาด โดยรวมเลือกหุ้นเด่นเดือนนี้ได้แก่