นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ระบุว่า ภาคธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนหลายๆ ประเทศมีความตื่นตัวต่อกระแสดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ โดยพบว่ามีความต้องการในการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคดิจิทัลค่อนข้างมาก ทำให้งานด้านบริการที่ปรึกษาด้านดิจิทัลและพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กร (Digital Excellence & Delivery)
รวมไปถึงงานบริการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Big Data & Advanced Analytics) ของบลูบิคสามารถตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นบริษัทฯยังมั่นใจอีกด้วยว่าประสบการณ์ของพนักงานบลูบิคซึ่งล้วนแต่เคยผ่านงานในบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกมาแล้ว และความได้เปรียบด้านราคาจะสามารถเข้าไปเจาะตลาดในภูมิภาคนี้ได้ไม่ยาก
“ทั่วโลกกำลังรับมือกับกระแสดิจิทัลดิสรัปชัน ดังนั้นการขยายบริการไปยังต่างประเทศช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมเพราะมีโอกาสเติบโตอย่างมหาศาลเนื่องจากตลาดต่างประเทศมีขนาดใหญ่และมีความต้องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้สูง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศอินโดนีเซียที่เราได้เข้าไปทำตลาดมาตั้งแต่ปีที่แล้ว มีบริษัทสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นหลายแห่งและมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ดำเนินธุรกิจในสัดส่วนที่มากกว่าประเทศไทย อีกทั้งเศรษฐกิจของอินโดนีเซียยังมีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยเกือบสองเท่า และเป็นประเทศที่มีการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย
ด้วยเหตุนี้ตลาดต่างประเทศจะเป็นอีกกลไกสำคัญขับเคลื่อนอนาคตให้กับบลูบิค (Growth Engine) ทั้งในมิติการสร้างความแข็งแกร่งเชิงรายได้ในระยะยาว และมิติของการเพิ่มองค์ความรู้และประสบการณ์ทำงานที่ท้าทายให้กับบุคลากร” นายพชร กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดอาเซียนมากและมีความต้องการในการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันสูงมากเช่นกัน ประกอบกับกระแสการทำงานแบบ Remote Work ที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น ทำให้การจ้างทีมงานมืออาชีพจากองค์กรภายนอกที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านได้รับความนิยมสูงตามไปด้วย ดังนั้นบริษัทฯเห็นโอกาสขยายบริการไปยังภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขนาดใหญ่
สำหรับแผนรองรับการขยายตัวในตลาดต่างประเทศนั้น บริษัทฯยังได้วางแผนบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าเงินไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีแผนพัฒนาบุคคลากรผ่านโครงการ Bluebik Academy ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งเสริมสร้าง ทักษะแห่งอนาคตในด้านต่างๆ อาทิ Data Science หรือ Advanced Analytics เป็นต้น อีกทั้งยังมี Bluebik Technology Center ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศอินเดีย ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและความรู้ทางเทคโนโลยี และเป็นศูนย์กลางฝึกอบรมและเฟ้นหาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมาเสริมทัพในการให้บริการทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
นายพชร กล่าวว่า ประสบการณ์การทำงานในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและท้าทายความสามารถอย่างตลาดต่างประเทศที่มีความก้าวหน้าในการนำเทคโนโลยีมาใช้งานและความต้องการที่หลากหลายจะช่วยดึงดูดความสนใจของคนทำงานด้านไอทีและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ในประเทศไทยอาจจะทำเพื่อรองรับการใช้งานราว 5-10 ล้านคน แต่ในต่างประเทศการพัฒนาแอปพลิเคชันอาจต้องรองรับการใช้งานตั้งแต่หลายสิบล้านจนถึง 100 ล้านคน
ดังนั้นการออกแบบและพัฒนาจะยากและซับซ้อนกว่ามาก ด้วยเหตุนี้การบ่มเพาะประสบการณ์การทำงานต่างประเทศจะเป็นการยกระดับความสามารถให้แก่พนักงานบลูบิคโดยเฉพาะสายไอที (Tech Talents) และสามารถนำองค์ความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้กับโครงการต่างๆ ในประเทศ เป็นการสร้างมาตรฐานงานและการให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการอย่างเหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า และจุดนี้จะเป็นการสร้างความแตกต่างในแง่คุณภาพงานระหว่างบลูบิคและคู่แข่งในประเทศ
“ปัจจุบันบริษัทมีรายได้เป็นสัดส่วนประมาณ 14% จากตลาดต่างประเทศ ซึ่งรายได้จากต่างประเทศนับจากนี้จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพไปพร้อมกับรายได้รวมที่ตั้งเป้าไว้ โดยบริษัทได้วางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 50% ซึ่งการขยายธุรกิจในครั้งนี้จะทำให้อีก 5 ปีนับจากนี้ บลูบิคจะเป็นหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันชั้นนำที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกตามแผนที่วางไว้” นายพชร กล่าวทิ้งท้าย