นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Property Outlook 2022” ในงานสัมมนา Property Focus 2022 : Mega Trend อสังหาฯ รับ New Norm จัดโดย นสพ.กรุงเทพธุรกิจ โดยระบุว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวหรือไม่นั้น ภาคอสังหาริมทรัพย์จะเป็นตัวนำ
ซึ่งมูลค่าของอุสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 4.8% ของจีดีพี แต่หากรวมซัพพลายเซนในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง จะมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วน 7.2% ของจีดีพี และหากรวมไปถึงกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์ตกแต่งบ้านจะคิดเป็นมูลค่ารวมเกือบ 10% ของจีดีพี
ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นจากยอดขออนุญาตการจัดสรรที่ดินและการก่อสร้างที่จะเริ่มมีมากขึ้นในปี 65 ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัย พบว่ามีความต้องการใกล้เคียงกับซัพพลาย จึงยังไม่เห็นภาวะโอเว่อร์ซัพพลายของภาคอสังหาริมทรัพย์ พร้อมมีมุมมองต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 65 ซึ่งต่อเนื่องไปถึงปี 66 ว่ายอดสินเชื่อใหม่จะมีอัตราการเติบโตอย่างแน่นอน
“วันนี้เมื่อเศรษฐกิจฟื้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็จะฟื้นตาม เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการขออนุญาตการจัดสรรที่ดินและก่อสร้าง อีก 3 เดือนถัดมา ก็จะมีการลงทุนก่อสร้างตามมา ดังนั้นภาคอสังหาริมทรัพย์จะเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจตัวหนึ่งว่า เศรษฐกิจจะฟื้นหรือไม่ เพราะเมื่อภาคอสังหาฯฟื้น ตัวอื่นก็จะฟื้นตามมา” นายอาคม กล่าว
อย่างไรก็ตามจากสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะของสหรัฐ ที่ธนาคารกลางได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุด 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5%และยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอีกนั้น ก็เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นสูงนั้น ในส่วนของไทยเอง ล่าสุด กนง.ได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่า การปล่อยสินเชื่อใหม่ของ ธอส. ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างดี เนื่องจากทิศทางดอกเบี้ยที่จะปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ลูกค้าระดับรายได้ปานกลางหันมาใช้สินเชื่อของ ธอส. มากขึ้น
พร้อมย้ำว่า จากพันธกิจของ ธอส. ที่ต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยของตนเอง จึงมีนโยบายให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยให้นานที่สุด หรืออย่างน้อยภายในปี 65 นี้
อย่างไรก็ตาม นายอาคม กล่าวอีกว่า ในส่วนของมาตรการรัฐที่ผ่านมา ได้ออกมาตรการช่วยเหลือภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ พักชำระหนี้
ขณะที่ด้านผู้ประกอบการได้มีมาตรการของ ธปท. ในโครงการพักทรัพย์พักหนี้ สำหรับผู้กประกอบการในภาคการท่องเที่ยว วงเงิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีสถาบันการเงินเข้ามาขอสินเชื่อแล้ว 11 แห่ง มีลูกหนี้รวม 253 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทลงเหลือ 0.01% รวมทั้งขยายโครงการบ้านล้านหลังเฟส 2 ซึ่งขณะนี้มีผู้มาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก แต่ยอดทำนิติกรรมจริงยังไม่เต็มวงเงิน เนื่องจากอาจรอประเมินสถานการณ์ก่อน
ขณะที่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สาเหตุที่รัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการ เนื่องจากการปรับลดภาษีดังกล่าวในช่วงที่ผ่านถึง 90% นั้นส่งผลกระทบต่อรายได้ท้องถิ่นหายไปประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งกระทบต่องบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น ทั้งถนนหนทาง น้ำเสีย และสิ่งแวดล้อม ดังเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ภาคอสังหามีการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และชลบุรี ก็มีความจำเป็นในการบริหารและพัฒนาท้องถิ่น ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ต่ออายุมาตรการดังกล่าว
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังแนะการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต สิ่งที่ต้องคำนึงถึง ประกอบด้วย
1.การนำเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาใช้ในการอำนวยความสะดวกโครงสร้างทั้งหมดภายในบ้าน รวมทั้งความเร็วและเสถียรของระบบอินเตอร์เน็ต ที่ต้องพัฒนาเป็นระบบไฟเบอร์ออฟติก
2.สิ่งแวดล้อม โดยระบบในตัวบ้านจะต้องมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การออกแบบ การกำจัดขยะหรือของเสีย และต้องคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน
3.สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งในการพัฒนาที่อยู่อาศัย จะต้องมีการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ เช่น บันได รวมถึงระบบต่างๆ ในห้องน้ำ และยังเชื่อมโยงไปถึงระบบต่างๆภายในบ้าน เป็นต้น