คนที่ลงทุนในต่างประเทศ หรือแม้แต่ลงทุนในประเทศเองในปัจจุบันนั้น สิ่งที่จะต้องวิเคราะห์เพิ่มเติมขึ้นจากอดีตอย่างหนึ่งก็คือ ความเสี่ยงทางรัฐศาสตร์และการเมืองของประเทศหรือตลาดหุ้นที่เข้าไปลงทุนหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Geopolitical Risk ซึ่งตัวอย่างความเสี่ยงนี้มีมากมาย เช่น
1) การที่การลงทุนของเราอาจจะถูกรัฐบาลของประเทศนั้นยึดเป็นของรัฐ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเพราะถูกกล่าวหาว่าทำ “ผิดกฎหมาย” เช่น การยึดสัมปทานการทำเหมืองแร่ในหลาย ๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทย หรืออาจจะเกิดเพราะบริษัทหรือเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองที่เป็นศัตรูหรือปฏิปักษ์กับรัฐบาลของประเทศนั้น ตัวอย่างก็เช่น การยึดเงินหรือทรัพย์สินของคนที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนปูตินในช่วงนี้ เป็นต้น
2) การเกิดสงครามกลางเมืองและความรุนแรง เช่น การก่อการร้าย การกบฏ การประท้วงรุนแรงซึ่งนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพของประเทศซึ่งส่งผลต่อราคาของหลักทรัพย์ ประเทศบางแห่งเช่นในตะวันออกกลางนั้นก็ทำให้ทรัพย์สินแทบจะหมดค่า แม้แต่ในตลาดที่เจริญแล้วเช่นฮ่องกงในช่วงที่มีการประท้วงรุนแรงของคนรุ่นใหม่ต่อรัฐบาลจีนก็ทำให้ทรัพย์สินและหลักทรัพย์ถูกกระทบไม่ใช่น้อย
3) การละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลในประเทศที่เข้าไปลงทุนในปัจจุบันก็มีผลต่อมูลค่าทรัพย์สินมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบ่อยครั้งประเทศก็ถูกแซงชั่นทำให้ไม่สามารถค้าขายกับโลกได้สะดวก ตัวอย่างก็น่าจะรวมถึงเมียนมาร์หลังจากกองทัพทำรัฐประหารและปราบปรามการประท้วงรุนแรงรวมถึงการทำสงครามกับชนกลุ่มน้อยซึ่งทำให้บริษัทที่เข้าไปทำธุรกิจในเมียนมาร์ก่อนหน้านั้นแทบจะต้องปิดธุรกิจอย่างสิ้นเชิง
4) ความขัดแย้งระหว่างประเทศและนำไปสู่สงครามทั้งสงครามจริงและสงครามการค้าซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวในช่วงเร็ว ๆ นี้ ตัวอย่างก็เช่น สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เป็นต้น กรณีแบบนี้ธุรกิจก็มักจะประสบปัญหาหนักและราคาหลักทรัพย์ตกลงมารุนแรง
มองจาก “ภาพใหญ่” นั้น โลกในช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าจะเกิดความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นมาก แม้ก่อนเหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครน ดัชนี “Geopolitical Risk Index” หรือ GPR ของโลกเมื่อมองย้อนหลังไปกว่า 100 ปี คือตั้งแต่ปี 1900 นั้น มีจุดสูงสุดที่สูงกว่าช่วงนี้ไม่กี่ครั้ง ซึ่งนั่นรวมถึงเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 และเหตุการณ์ช่วงการบุกอิรักของอเมริกา เป็นต้น
คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับโลก? และเราควรจะกลัว กังวล หรือลดการลงทุนโดยเฉพาะในต่างประเทศที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ขัดแย้งรุนแรงหรืออาจจะถูกผลกระทบรุนแรงหรือไม่? ที่สำคัญจะวิเคราะห์อย่างไร? ถ้าจะพูดกันตรงประเด็นก็คือ สงครามรัสเซียกับยูเครนนั้นเกิดเพราะอะไรและจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกจนทำให้การลงทุนย่ำแย่หนักแค่ไหน นอกจากนั้น มันมีโอกาสที่จะนำไปสู่สงครามโลกไหม? และสุดท้าย ความขัดแย้งนี้ให้บทเรียนอะไรกับเราบ้าง?
ก่อนที่จะพูดเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผมอยากจะมอง “ภาพใหญ่”ของ Geopolitics หรือความขัดแย้งระหว่างคนและประเทศต่าง ๆ ของโลกเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเพื่อให้เข้าใจพื้นฐานว่าเกิดจากอะไร
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 และก่อนหน้านั้น ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ก่อให้เกิดสงครามนั้นมักจะเป็นเรื่องของ “ผลประโยชน์” ที่จะได้รับจากการแย่งชิงทรัพยากร เช่น ที่ดินและทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น ทองและสิ่งของมีค่าอย่างอื่น โดยชนวนที่จุดให้เกิดสงครามมักจะมาจากตัวผู้นำรัฐหรือประเทศที่มีอีโก้สูงที่ต้องการขยายอาณาจักรของตนให้ยิ่งใหญ่รวมไปถึงเป็นเรื่องของ “ศักดิ์ศรี” ในกรณีที่มีการกระทบกระทั่งกันหรือมีการแข่งขันกันระหว่างรัฐ เป็นต้น
ในช่วงสงครามเย็นคือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 จนถึงปี 1991 สงครามระหว่างชาติมักเป็นเรื่องของ “อุดมการณ์” ระหว่างฝ่าย “โลกเสรี” ที่นำโดยอเมริกากับ “สังคมนิยม” ที่นำโดยสหภาพโซเวียตและจีน โลกถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนพอ ๆ กันและต่อสู้กันโดยมีผู้นำของทั้งสองฝ่ายคอยสนับสนุนและบางครั้งผู้นำก็ลงมาเล่นเองเช่นในกรณีสงครามเกาหลีและเวียตนาม เป็นต้น แต่ก็ไม่เคยรบกันตรง ๆ เพราะต่างก็มีอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถทำลายโลกได้ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฝ่ายสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้และนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต โดยมีรัสเซียเป็นประเทศหลักที่เหลืออยู่ หลังจากนั้น ผู้คนและประเทศทั่วโลกแทบจะไม่มีใครเป็นสังคมนิยมแบบเดิมอีกยกเว้นเกาหลีเหนือและคิวบา
ตั้งแต่ปี 1991 ถึงปัจจุบัน ความขัดแย้งและสงครามดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของปรัชญาความคิดในการปกครองของประเทศโดยเฉพาะในช่วงเร็ว ๆ นี้ นั่นคือ มักเป็นความขัดแย้งระหว่างคนหรือประเทศที่ยึดความเป็น “ประชาธิปไตย” กับประเทศที่เป็น “เผด็จการ” ไม่ว่าจะเรียกชื่อประเทศว่าอย่างไร ว่าที่จริง น่าจะเกือบทุกประเทศในโลกนี้ต่างก็อ้างว่าประเทศตนเองปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยกันทั้งนั้น ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การจะเป็นประชาธิปไตยหรือเป็นเผด็จการนั้น เป็นเรื่องของแนวความคิดที่แตกต่างกันคนละขั้ว และวิธีที่จะดูว่าประเทศนั้นน่าจะเป็นอย่างไรจึงควรคำนึงถึงค่านิยมและความเชื่อของคนดังต่อไปนี้
ฝ่ายที่เป็นประชาธิปไตยนั้น ผู้คนส่วนใหญ่และประเทศจะมีความเชื่อในเรื่องของ “สิทธิมนุษยชน” หรือความเท่าเทียมของคนและเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ที่เป็นความสุขและไม่รบกวนสิทธิของคนอื่น เวลาจะตัดสินอะไรในประเทศก็ต้องฟังความคิดเห็นของคนอื่นและตัดสินด้วยเสียงของคนส่วนใหญ่ ถ้ามองในระดับประเทศก็จะพบว่าพวกเขาจะยึดหลักการพื้นฐานที่สำคัญ ๆ 3-4 เรื่องนั่นก็คือ “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ” โดยที่เสรีภาพก็คือความเป็นอิสระที่จะ “พูด” หรือทำอะไรต่าง ๆ โดยไม่ถูกห้ามหรือลงโทษตราบที่ไม่ได้เป็นการให้ร้ายคนอื่นให้เสียหายหรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน เสมอภาคคือทุกคนจะต้องมีความเท่าเทียมกัน “ตามกฎหมาย” และภราดรภาพก็คือการมีความรักและเห็นอกเห็นใจกัน “ฉันพี่น้อง” คือต่างก็ให้เกียรติกัน “ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร” หรือไม่มีใครเหนือกว่าใคร
ฝ่ายที่เป็นแนวเผด็จการหรือไม่เป็นประชาธิปไตยนั้น ผู้คนส่วนใหญ่มักจะมีแนวความคิดที่ว่าคนเกิดมา “ไม่เท่ากัน” บางคนมีพลังอำนาจบารมีเหนือคนอื่น อาจจะเพราะเป็นผู้ชาย เป็นคนเกิดในตระกูลสูง เป็นคนผิวขาวที่มีความฉลาดและความสามารถเหนือคนผิวสีอื่น เป็นต้น ดังนั้น คนบางคนจึงควรมีสิทธิมากกว่าคนอื่นหรือเป็นคนที่จะควบคุมคนอื่นเพื่อที่จะทำให้ประเทศหรือโลกสงบสุขเจริญก้าวหน้า คนที่ด้อยกว่าควรจะเป็นผู้ตามหรือถูกบังคับให้ทำตาม ทั้งโดยขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎหมายที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้และประพฤติปฏิบัติตาม
มองในภาพใหญ่ระดับประเทศ พวกเขาก็จะเน้นใน 3-4 เรื่องเช่นเดียวกันนั่นก็คือ “ชาติ-ศาสนา-ผู้นำสูงสุด” โดยที่ในสังคมของเผด็จการ บางแห่งก็เน้นในเรื่องของชาติเช่นการเป็น “ชาติที่ยิ่งใหญ่” อย่างรัสเซียในประวัติศาสตร์และช่วงเร็ว ๆ นี้ บางรัฐเช่นหลายแห่งในตะวันออกกลางอาจเน้นทางด้านศาสนาที่ต้องการให้มีเพียงหนึ่งเดียวและเป็นสิ่งสูงสุดที่ทุกคนยึดถือ และสุดท้าย แทบจะทุกสังคมเผด็จการมักจะต้องมี “ผู้นำสูงสุด” ที่จะนำประเทศไปสู่ความมั่นคงและก้าวหน้าที่ทุกคนจะยอมรับและให้ “อำนาจและสิทธิพิเศษ” เหนือคนอื่น และพวกเขามักจะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้นานบางทีตลอดชีวิต ตัวอย่างอาจจะรวมถึง เกาหลีเหนือ คิวบาและอีกหลายประเทศ
แน่นอนว่าความเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการนั้น ไม่มีเส้นแบ่งเด็ดขาด แต่เป็นเรื่องของ “ดีกรี” ว่ามากน้อยแค่ไหน อเมริกาหรือประเทศยุโรปตะวันตกอาจจะถือว่าเป็นประชาธิปไตยมากแต่ก็ไม่สมบูรณ์ รัสเซีย ยุโรปตะวันออกหรือเอเชียที่กำลังพัฒนาอาจจะถือว่าเป็นเผด็จการแต่ก็น้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อน โลกในช่วงหลัง ๆ นี้ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฝ่ายเผด็จการก็ยังไม่ได้หมดไปและบางครั้งกลับเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่นกรณีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่ได้รับเลือกและดูเหมือนว่าจะนำอเมริกา “ถอยหลัง” จากประชาธิปไตยจนน่ากลัว