การลงทุนแห่งอนาคต ทัชสตาร์ทกับกองทุน EV

04 เม.ย. 2565 | 11:47 น.
อัปเดตล่าสุด :04 เม.ย. 2565 | 18:48 น.

บลจ.ไทยพาณิชย์แนะ ลงทุนธีม EV 3-5 ปีขึ้นไป เหตุเติบโตพร้อมเศรษฐกิจโลกมากกว่า 10 ปี เหมาะนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง หลีกเลี่ยงความผันผวนในระยะสั้น แนะสัดส่วน 10-15% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพื่อให้พอร์ตมีเสถียรภาพ

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า(EV) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย และเมื่อใดที่ข้อจำกัดในการใช้งานรวมถึงราคา ถูกขจัดหรือปรับตัวลดลงในระยะถัดไปแล้วเชื่อว่าคงใช้เวลาไม่นานต่อจากนี้้ที่จะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งบนท้องถนน 100% ซึ่งฝั่งผู้ผลิตเองก็มีความพยายามพัฒนาและหันมาทุ่มเทศักยภาพในการผลิต รถยนต์ EV มากขึ้นด้วยเช่นกัน

 

ฝั่งผู้บริโภคก็เติบโตในระดับที่หน้าสนใจ ซึ่งถ้าดูตลาดใหญ่อย่างประเทศจีนแล้วในปีที่ผ่านมายอดขายรถยนต์ EV ในจีนคาดว่า จะสูงถึง 3 ล้านคัน เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปี 2563 และคาดว่าการส่งมอบ รถยนต์ EV จะแตะ 5 ล้านคันในปีนี้และอาจขึ้นไปสูงถึง 20 ล้านคันภายในปี 2573 โดยตลาดรถยนต์ EV ของจีนกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนที่จะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้

ขณะที่รัฐบาลไทยผ่านร่างมติคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) กำหนดนโยบาย 30/30 คือ การตั้งเป้าการผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573 เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค (EV Hub)

 

ถ้ารวม Supply Chain ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับ รถ EV แล้ว ต้องบอกเลยว่า ทางทุกเส้นถนนทุกสายกำลังมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งหมดจึงเป็นที่มาว่าทำไมธีมการลงทุน EV จึงเป็นการลงทุนที่น่าสนใจต่อจากนี้ 
 

ศุภรัตน์ อารีย์วงศ์ Executive Director กลุ่มกลยุทธ์การตลาดและผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด บอกว่า สิ่งที่เค้ามองเห็นและเชื่อว่า จะเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนเพราะ รถ EV มีโอกาสขยายตัวอย่างมากในอนาคต ซึ่งจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับที่ต่ำของรถยนต์ EV เมื่อเทียบกับรถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิง (ICE) ทำให้ภาครัฐในประเทศต่างๆ ส่งเสริมการผลิตและใช้รถยนต์เหล่านี้เพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง

 

หลายประเทศได้เสนอมาตรการสนับสนุนรถยนต์ EV เช่น นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และอื่นๆ อีกหลายประเทศ ที่ประกาศ Phase out หรือหยุดจากการใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง มาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป 

 

จากการคาดการณ์ของ Bloomberg New Energy Finance คาดว่าในปี 2040 ยอดขายรถยนต์ EV จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั่วโลก และมากกว่า 33% ของจำนวนรถยนต์ที่ใช้ในท้องถนนทั่วโลกคือ รถยนต์ EV ทำให้แนวโน้มตลาดรถยนต์ EV มีโอกาสขยายตัวอย่างมาก ซึ่งทำให้โอกาสการลงทุนในธีม EV และ Supply Chain ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มีความน่าสนใจ

 

ส่วนความคาดหวังในการลงทุนควรใช้ระยะเวลาเท่าไหร่นั้น ศุภรัตน์ บอกว่า  การที่ตลาด EV อยู่ในช่วงขยายตัวโอกาสการลงทุนในธีมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicles ที่คาดว่า จะเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลกในระยะยาวมากกว่า 10 ปีข้างหน้า กองทุนประเภทนี้จะมีความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนในระยะสั้น แนะนำให้ลงทุนธีม EV 3-5 ปีขึ้นไป 

 

"นักลงทุนที่สนใจธีมการลงทุนนี้ส่วนตัวแล้วอยากแนะนำสัดส่วนพอร์ตการลงทุนที่ประมาณ 10-15% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพื่อให้ผลการดำเนินงานพอร์ตการลงทุนในภาพรวมเสถียรในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามสัดส่วนการลงทุนในธีม EV ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักลงทุนแต่ละคน"ศุภรัตน์กล่าว

 

อย่างไรก็ตามปัจจุบันกองทุนธีม การลงทุน EV ที่เปิดทำการเสนอขายในประเทศไทยโดยเฉพาะจะมีอยู่ด้วยกัน 2 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Electric Vehicles and Future และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด แบตเตอรี่ แอนด์ อีวี เทคโนโลยี ฟันด์ (UEV)

การลงทุนแห่งอนาคต ทัชสตาร์ทกับกองทุน EV

สำหรับผลการดำเนินงานของทั้ง 2 กองทุนพบว่า 

  • กองทุน SCBEV มีผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ -3.43% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ -3.43% 
  • กองทุน UEV มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 6.62% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ -12.12% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 1.62%

 

สรุปแล้วธีมการลงทุนนี้นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไม่น้อย ถ้าใครนึกภาพไม่ออกว่าอนาคตของมันจะเป็นจริงได้ขนาดไหน ให้ลองดูโทรศัพท์มือถือในมือว่า ยังมีปุ่มกดแบบที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟนหรือไม่ เพราะมาถึงตอนนี้ IPhon-1 เปิดตัวมาแล้ว 15 ปีนับตั้งแต่ปี 2007 เท่ากับว่า ณ ตอนนี้หุ้น Apple บวกไปแล้วกว่า 900% เลยทีเดียวจากช่วงเปิดตัว IPhon-1 ซึ่งราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 17 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้ทัชสตาร์ทกันสักตั้งกับนวัตกรรม EV ได้อย่างไร