นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/65 ว่า มีกำไรสุทธิ 2,918 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 3,641 ล้านบาท
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Combined Heat and Power: CHP) ทั้ง 3 แห่งในจีน สามารถจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำได้เพิ่มมากขึ้น 30% และ 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
อีกทั้งการลงทุนในโรงไฟฟ้านาโกโซ (Nakoso IGCC) ในญี่ปุ่น ทำให้ BPP รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจำนวน 238 ล้านบาท รวมถึงมีรายได้จากการขายไฟฟ้าจำนวน 1,294 ล้านบาท จากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ในสหรัฐอเมริกา
ขณะที่โรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงรักษาเสถียรภาพในการดำเนินงานได้ แม้ว่าในไตรมาสนี้โรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนเพื่อรักษาประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต
อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 1/2565 บ้านปู เพาเวอร์ฯ ยังสามารถสร้างการเติบโตของเมกะวัตต์คุณภาพจากการขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียนได้เพิ่มขึ้นอีก 62 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังผลิตรวม 3,265 เมกะวัตต์เทียบเท่า พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์เทียบเท่าภายในปี 2568
นายกิรณ กล่าวอีกว่า บ้านปู เพาเวอร์มีนโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐที่ชัดเจน โดยจะเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้ทันที โดยในไตรมาสที่ผ่านมา ได้ขยายกำลังผลิตในพอร์ตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 62 เมกะวัตต์ จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ชิราคาวะในญี่ปุ่น
การลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่งในเวียดนาม ประกอบด้วย โรงไฟฟ้า ชูง็อก (Chu Ngoc) โรงไฟฟ้าน็อนไห่ (Nhon Hai) รวมถึงการลงทุนใน Solar Esco Joint Stock Company บริษัทพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของเวียดนามที่ให้บริการแพลตฟอร์มโซลาร์รูฟท็อปแบบครบวงจร เพื่อขยายธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานในเวียดนาม
สำหรับไตรมาส 1/2565 บ้านปู เพาเวอร์ มีรายได้รวมมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่งในจีน จำนวน 2,567 ล้านบาท และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมค้า จำนวน 773 ล้านบาท จากโรงไฟฟ้า เอชพีซีและโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Debt to Equity: Net D/E) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ที่ 0.22 เท่า