นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ 0.5% นั้น มองว่า กนง. ยังคงมีความกังวลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเชื่อว่าได้มีการประเมินสถานการณ์ปัจจัยภายนอก และสถานการณ์ต่างประเทศด้วย เพราะหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่างกันเกินไปจะมีผลต่อการไหลออกของเงินทุนได้ ขณะเดียวกันก็ยังต้องดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยด้วย
ขณะที่มติ กนง. ไม่เอกฉันท์ 4:3 ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% จะเป็นการส่งสัญญาณในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเร็วขึ้นหรือไม่นั้น นายอาคม กล่าวว่า ยังคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะยังต้องประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง
"ยังคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะต้องประเมินสถานการณ์ตลอด ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ภาคท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ส่งออกยังขยายตัวได้ดี แต่การนำเข้าก็ได้รับผลกระทบจากค่าบาทอ่อน และราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น" นายอาคมกล่าว
ส่วนการไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะสามารถคุมเงินเฟ้อได้หรือไม่นั้น นายอาคม กล่าวว่า นอกจากรัฐบาลจะเข้าไปดูแลราคาน้ำมันแล้ว ก็จะเข้าไปดูแลราคาสินค้าให้เข้มงวดขึ้น ขณะภาคเอกชนก็ต้องจัดการบริหารต้นทุน และอาจต้องยอมกำไรน้อยลงในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้พยายามตรึงราคาน้ำมันให้นานที่สุด ส่วนสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันขณะนี้นั้น ทาง กระทรวงพลังงานจะต้องเป็นผู้พิจารณาว่าจะขอความช่วยเหลือใดจากรัฐ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ขอมา
ส่วนการจะลดภาษีน้ำมันอีกหรือไม่ หลังสิ้นสุดมาตรการ วันที่ 20 ก.ค. 65 นั้น ก็ต้องมาประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมัน และผลการจัดเก็บรายได้ของของคลังอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นายอาคม ยังยืนยันเศรษฐกิจไทยในปี 65 ยังขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 3.5% แม้เวิลด์แบงก์ได้ปรับลดจีดีพีโลกลงจาก 4.1% เหลือ 2.9% ก็ตาม ซึ่งมองว่าเป็นการประเมินน้ำหนักจากเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจโลก ขณะที่เศรษฐกิจไทยไม่ได้มีผลต่อเศรษฐกิจโลกขนาดนั้น
"แต่ไทยก็ต้องย้อนกลับมามองตัวเอง สิ่งที่ต้องทำคือสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว และส่งออก ซึ่งเศรษฐกิจโลกก็มีผลต่อการค้าของเราบ้าง เราคาดส่งออกปีนี้โต 5%-8% แต่จากที่คุยกับเอกชนก็ขอให้มองเป้าหมายที่ 10%" นายอาคมกล่าว