ตามที่มีข่าวว่ากระทรวงการคลังจะเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% ของมูลค่าขายตั้งแต่บาทแรกนั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เห็นว่ายังมี 4 ปัจจัยที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมตามที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เคยนำเสนอมาโดยตลอด ดังนี้
1.อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% (ภาษีขายหุ้น) ที่จะเรียกเก็บไม่เหมาะสมกับสภาพธุรกิจปัจจุบัน เนื่องจากเป็นอัตราที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2534 เมื่ออัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 0.5% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราภาษี 0.1% แล้วเป็นอัตราส่วน 5:1 เท่า ในขณะที่ปัจจุบันการแข่งขันของ ผู้ประกอบกิจการรุนแรงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ทำให้อัตราค่าคอมมิชชั่นโดยเฉลี่ยในอุตสาหกรรมลดลงเหลือเพียง 0.08% เท่านั้น
ดังนั้น หากภาครัฐยังจัดเก็บภาษีขายหุ้นที่ระดับ 0.1% รวมกับภาษีท้องถิ่นอีก 0.01% คิดเป็น 0.11% จะทำให้อัตราส่วนระหว่างค่าคอมมิชชั่นและภาษีจะกลับเป็น 0.7:1 เท่า ซึ่งจะเห็นได้ว่ารายได้ในการให้บริการการซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยจะต่ำกว่าภาษีธุรกิจเฉพาะเสียอีก ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายของผู้ลงทุนที่สูงขึ้นเกินเท่าตัวและจะกระทบต่อสภาพคล่องและการตัดสินใจลงทุนของผู้ลงทุนทุกประเภทอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งกลุ่มรายย่อยที่ลงทุนโดยตรงในตลาดหลักทรัพย์และลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนต่างๆ และผู้ลงทุนต่างประเทศ
2.ต้นทุนการระดมทุน (cost of capital) ของภาคธุรกิจจะยิ่งสูงขึ้นเมื่อสภาพคล่องในตลาดหดตัวจากต้นทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงขึ้น 1 เท่าตัว ทั้งที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังไม่สามารถกลับมาขับเคลื่อนได้เต็มที่เหมือนช่วงก่อนโควิด จะกระทบให้บริษัทจดทะเบียนต้องชะลอหรือลดการลงทุนทางธุรกิจ และกระทบต่อการจ้างงาน และ GDP ของประเทศในท้ายที่สุด
3.เกิดต้นทุนภาษีซ้ำซ้อน (double taxation) สำหรับธุรกรรมการพัฒนาสินค้าตลาดทุนใหม่ ๆ โดยเฉพาะ ETF, Derivative Warrant และ Single Stock Futures ซึ่งอ้างอิงหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จึงต้องจ่ายภาษีขายทั้งตัวสินค้าที่ผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็น บล. หรือ บลจ. ดูแล และเมื่อต้องขายหลักทรัพย์อ้างอิงในการสร้างสินค้าและดูแลสภาพคล่องของสินค้านั้นๆ การเก็บภาษีจะจำกัดการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุน โอกาสของผู้ให้บริการ และขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยในเวทีโลกได้
ทั้งนี้ หากมีการจัดเก็บภาษี ควรยกเว้นให้แก่กลุ่มผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) และกลุ่มกองทุนรวม/กองทุนบำนาญ/กองทุนสวัสดิการต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการออมการลงทุนของประชาชนในวงกว้างและต่อการพัฒนาเชิงนวัตกรรมของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ
4.การประกาศใช้ภาษีขายหุ้น ควรแจ้งล่วงหน้า ในช่วงเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ลงทุนและผู้ประกอบการมีเวลาเตรียมความพร้อมและปรับตัว ทั้งจากต้นทุนที่สูงขึ้นและจากภาวะตลาดทุนและดัชนีหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงมากในปีนี้ที่มีผลมาจากทั้งสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อสูง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ปัญหาโควิดที่ยืดเยื้อ และภาวะสงครามระหว่างประเทศที่กดดันอุปทานของสินค้าสำคัญต่างๆ
สุดท้ายนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ในการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในเรื่องนี้ เพื่อการพัฒนาตลาดทุนและเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน