บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอรส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DBSV ประเมินภาพรวมตลาดคริปโตที่กำลังเป็นขาลงอยู่ในขณะนี้ ว่า ราคาเหรียญคริปโต (Crypto) ลดลงรุนแรง ตั้งแต่เงินเฟ้อเพิ่มสูง แทบทุกเหรียญร่วงหมด ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Ethereum, XRP, BNB, BITKUB โดยเฉพาะเหรียญ LUNA ที่เผชิญวิกฤตจนแทบไม่เหลือมูลค่าขณะที่ในอนาคตยังไม่แน่นอน ต้องระมัดระวังที่จะเข้าไปลงทุน มีความเป็นไปได้ว่ามูลค่าเหรียญคริปโตจะกลับมาฟื้นตัวได้ หากสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลาย แต่ความเสี่ยงคือ จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน
"แม้ราคาหุ้นกลุ่มคริปโตส่วนใหญ่จะร่วงไปมากแล้ว แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรจำแนกหุ้นกลุ่มคริปโต ด้วยว่ามีความเสี่ยงอยู่ในระดับใด โดยเตือนว่า แม้ราคาหุ้นจะร่วงต่ำลงอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ควรเข้าไปช้อน "
กลุ่มหุ้นขุดเหรียญคริปโต
สิ่งที่กังวลคือ ถึงจะขุดได้ แต่หลักทรัพย์ที่ขุดมามีมูลค่าต่ำ โดยหลักทรัพย์ใน
กลุ่มนี้ เช่น JTS, ZIGA, UPA, AJA, ECF, CWT, SCI, NRF เป็นต้น
กลุ่มหุ้นรับเหรียญมาใช้ซื้อสินค้าได้ หรือรับบริการ
ขณะเดียวกัน คาดว่า กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะหากได้รับมาจากการชำระค่าสินค้าหรือบริการ ก็จะป้องกันความเสี่ยงได้ ด้วยการขายออกมาทันที ชุดหลักทรัพย์เหล่านี้ เช่น ANAN, SIRI, ORI, ASW, MAJOR หรือมีการออกและใช้เหรียญภายในกลุ่ม เพื่อให้ลูกค้ามารับบริการได้ หรือทำโปรโมชั่นทางการตลาด เช่น Jin Coin กลุ่ม JMART หรือ Popcoin ของกลุ่ม RS
กลุ่มหุ้นบริษัทที่รับเป็นที่ปรึกษาทำธุรกิจเกี่ยวกับเหรียญคริปโต
ขณะที่ระยะนี้ก็จะซบเซาไปตามสถานการณ์ของเหรียญ หลักทรัพย์ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง บริษัท XPG รับเป็นที่ปรึกษาในการออกเหรียญ หรือให้บริการต่างๆ, SCB สนใจเข้าไปถือหุ้นใน BITKUP หรือกระทั่ง GULF ให้บริษัทย่อยไปร่วมลงทุน ในธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา (Binance US) ใช้เงินราว 660 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทย่อยคือกัลฟ์ อินโนวา ถือหุ้น 51% ส่วน Binance Capital Management ถือหุ้น 49%
กลุ่มหุ้นบริษัทที่เข้าไปถือลงทุนโดยตรง
ปัจจุบันบริษัทที่ลงทุนโดยตรงในเหรียญ Crypto มีอยู่ 2 บริษัทหลัก ๆ คือ GULF และ BROOK ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้
GULF : ให้บริษัทย่อยคือ Gulf International Investment Limited (GII) ซึ่งถือหุ้นอยู่ 100% ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล BNB มูลค่าราว 1,678.25 ล้านบาท หรือ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หากสมมุติให้ในที่สุดแล้วมูลค่าเหรียญลดลงไป 50% หรือได้รับความเสียหายไป 839 ล้านบาท หากหากเทียบกับกำไรตลอดปีจะเป็นสัดส่วนราว 7% จากกำไรราว 1.2 พันล้านบาท
แต่ล่าสุดบริษัทได้มีการจำหน่ายหุ้นทั้งหมด ให้แก่บริษัท กัลฟ์ โฮลดิ้งส์(ประเทศไทย) จำกัด (GHT) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ถือหุ้นในบริษัทฯ ในสัดส่วนร้อยละ 4.86 (ณ วันที่ 16 มิถุนายนที่ 1,681.67 ล้านบาท จึงคาดว่าบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้แล้ว 2565)
BROOK : ลงทุนในเงิน Crypto เป็นสกุลหลักๆ 60% คือ Bitcoin, Ethereum, Binance, Stablecoin และอีก 40% เป็นสกุลอื่นๆที่ 1,290 ล้านบาท หากสมมุติให้ในที่สุดแล้วมูลค่าเหรียญลดลงไป 50% หรือได้รับ ความเสียหายไป 645 ล้านบาท หากเทียบกับกำไรตลอดปีที่ราว 200-300 ล้านบาท จะเป็นสัดส่วนที่มากเกิน 100%
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินภาพรวมตลาดสินทรัพย์เสี่ยงถูกกดดันจาก ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 28 ปี และธนาคารกลางทั่วโลกแห่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม เหรียญบิตคอยน์จึงได้รับผลกระทบด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาราคาปรับตัวขึ้นจากสภาพคล่องในตลาด ดังนั้นเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หุ้นเหมืองขุดบิตคอยน์ปรับตัวลง เนื่องจากมองว่าการลงทุนไม่คุ้มค่าแล้ว เพราะว่า ราคาเหรียญลดลงต่ำกว่าจุดคุ้มทุน (เบรกอีเวนต์) ขณะที่ค่าไฟฟ้าก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรมีทิศทางลดลงและต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งยิ่งขุดเหรียญต่อไปก็ยิ่งขาดทุน
"ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณบริษัท ที่ขุดเหมืองบิตคอยน์เริ่มหยุดหรือชะลอการขุดเหรียญบ้างแล้ว เพราะว่าขุดไป ก็ไม่คุ้มทุน ยิ่งขุดต่อไปก็ยิ่งขาดทุน โดยเฉพาะคนที่ไปจ้างให้คนอื่นขุดให้"
สอดคล้องกับนายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการ อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย ประเมินทิศทางภาพรวมตลาดคริปโตเคอเรนซีว่ายังเป็นขาลง ในอนาคตยังไม่แน่นอน จึงต้องระมัดระวังที่จะเข้าไปลงทุน ถึงแม้ว่าก็มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตมูลค่าเหรียญคริปโต จะกลับมาฟื้นตัวได้ หากสถานการณ์ต่างๆ กลับมาคลี่คลายไปในทางที่ดี เช่น เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้ตกต่ำอย่างที่กังวล สงครามรัสเซีย-ยูเครนกลับมาเจรจากันได้, สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คลี่คลาย หรือเศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัว