นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวในสัมมนาหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจมัลติมีเดีย “Property inside 2022 ทางรอดอสังหาฯ” หลังโควิด-ไฟสงคราม หัวข้อ “วิกฤติโควิดสู่ไฟสงคราม อสังหาฯไทยจะไปทางไหน?
โดยระบุว่า แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นนั้นทั้งธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จึงเป็นการยากที่จะฝืนตลาด
ทั้งนี้ ธอส.ประเมินว่า เฟดและกนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามที่ได้ส่งสัญญาณมาแล้วนั้น โดนในส่วนของธอส.จะไม่เป็นผู้นำในการปรับขึ้นดอกเบี้ยตามกนง.ในทันที แต่ธอส.จะตรึงระยะเวลา 3-5เดือนในการปรับขึ้นดอกเบี้ยตามกนง.
หากกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนส.ค.นี้ ธอส.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนต.ค. คือ ยอมรับว่าในระยะต่อไปจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งในแง่ของดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก เพื่อลดผลกระทบทั้งต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้และลดผลกระทบต่อเงินไหลออกด้วย
ภายใต้สมมติฐานปีนี้ มองว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2ครั้งคือในเดือนส.ค. 0.25% และเดือนพ.ย.อีก 0.25% แต่ธอส.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยตามเพียงอัตรา 0.15% และจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเดือนม.ค.ปี2566
ทั้งนี้จากการดำเนินนโยบายตรึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดผลกระทบต่อสมาชิกผู้มีรายได้น้อยดังกล่าว ธอส.จะมีภาระประมาณ 1,000ล้านบาท แต่ก็ขึ้นอยู่กับกนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแรงกว่านี้หรือไม่อย่างไร
“ อยากให้เชื่อมั่นว่าดอกเบี้ยที่กำลังจะปรับขึ้นเร็วๆนี้ เฟดจะประชุมก.ค. และกนง.กำหนดจะประชุมเดือนส.ค. โดยภาคการเงินยังอัดฉีดเงิน โดยเฉพาะธอส.ยังคงทำหน้าที่ ที่สำคัญ คือการดำเนินนโยบายที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย แม้ว่าผลกระทบจากการต้นทุนแพงขึ้น ทำให้ความสามารถในการใช้จ่าย ธอส.ยังสามารถเข้าไปช่วยพยุงภาคอสังหาได้ เพียงผู้ประกอบการ รวมถึงผู้บริโภคต้องปรับตัว เช่นคนที่จะซื้อบ้านอาจจะต้องถอยระดับราคาลงมาตามภาวะเศรษฐกิจ”
ปัจจุบันเพิ่งฟื้นไข้จากการแพร่ระบาดของโควิด แม้จะมีสัญญาณบวก แต่ผลกระทบจากภัยสงครามได้ส่งผลด้านต้นทุน ทั้งจากพลังงานและอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นชั่วโมงนี้ทุกคนกังวลดอกเบี้ยขาขึ้น
แต่หากพิจารณาสถิติย้อนหลังช่วง 10ปี พบว่าในปี 2558 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเคยอยู่ที่ระดับ 1.50%ต่อปี ตอนนี้อยู่ที่ 0.50%ต่อปี โดยมองว่าหากมองย้อนไป 10-20ปีที่ผ่านมาดอกเบี้ยนโยบายของไทยเคยอยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งหากดอกเบี้ยจะปรับขึ้นมาอยู่ระดับ 1.25-1.50%ก็น่าจะยังอยู่ในวิสัยจะรับได้
นายฉัตรชัยกล่าวว่า ในส่วนบทบาทของธอส.ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐซึ่งเน้นปล่อยสินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยวงเงินไม่เกิน 1.5ล้าน โดยปีนี้ครึ่งปีแรกมียอดอนุมัติแล้วกว่า 106,231ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีจะสามารถทำได้ประมาณ 2.6แสนล้านบาทหรืออาจจะสูงถึง 3แสนล้านบาท (จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 226,423ล้านบาท)
ทั้งนี้ ธอส.มีเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอยู่ในระดับสูง 180.02%(สิ้นเดือนมิ.ย.2565) ขณะที่มียอดสินเชื่อคงค้าง 1.52ล้านล้านบาท สินทรัพย์เติบโตขึ้น 1.5ล้านล้านบาท หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล 4.41%เพิ่มขึ้นเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติจากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 4.0%
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเอ็นพีแอลนั้น ในหลักการธอส.ยอมารับเอ็นพีแอลมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ และยังคงมีการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการเยียวยาผลกระทบซึ่งเป็นนโยบายของรัฐ และธอส.มีหน้าที่ทำให้คนไทยมีบ้าน อย่างไรก็ตาม ธอส.เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันต้องบริหารจัดให้มีกำไรเพื่อดูแลลูกค้าเงินฝากด้วย