NCBแจง “ไม่บังคับสหกรณ์ที่มีธุรกรรมสินเชื่อต้องเป็นสมาชิก “เครดิตบูโร”

14 ก.ค. 2565 | 07:35 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ก.ค. 2565 | 15:23 น.

เครดิตบูโรย้ำ “ไม่บังคับสหกรณ์ที่มีธุรกรรมสินเชื่อต้องเป็นสมาชิกเครดิตบูโร” แจงการนำข้อมูลจากเครดิตบูโรไปร่วมพิจารณา “ความสามารถในการชำระหนี้” หลักการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ

ตามที่ปรากฏข่าวจากหลายสำนักเกี่ยวกับงานจัดเวทีเสวนา เรื่อง “ร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับที่ 2 มุมมองของคนสหกรณ์ จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ?” และรับฟังความคิดเห็นร่างกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (ร่างกฎกระทรวง การบริหารจัดการและการกำกับดูแลทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ..)

 

ทั้งนี้  สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.)ระบุ   ความตอนหนึ่งสรุปผลการถกและเสนอความคิดเห็นระบุถึงประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของสหกรณ์และสมาชิกจากร่างกฎกระทรวงฯ อันเกี่ยวกับการตรวจสอบ

ข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิต (เครดิตบูโร) ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต ว่า “ร่างกฎกระทรวงฯ ได้กำหนดให้การกู้เงินทุกประเภทที่เกิน 2 ล้านบาท จะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเครดิตบูโร

 

ส่งผลให้สมาชิกเข้าสู่ระบบการกู้เงินของสหกรณ์ได้ยากขึ้น เนื่องจากมีระบบการตรวจสอบ ที่เข้มข้นแต่ระบบสหกรณ์เป็นระบบที่มีความพิเศษแตกต่างจากธนาคารและสถาบันการเงินอื่นๆ

 

เช่น สหกรณ์มีการค้ำประกันโดยสมาชิก มีทุนเรือนหุ้น มีเงินฝากและสามารถหัก ณ ที่จ่ายได้ การบังคับเข้าระบบเครดิตบูโร อาจส่งผลกระทบต่อสมาชิกโดยตรง คือ สมาชิกส่วนใหญ่อาจจะกู้ไม่ได้ หรือกู้ได้ยากขึ้น และเป็นการผลักดันให้สมาชิกต้องกู้นายทุนและกู้นอกระบบ ที่ดอกเบี้ยแพง ส่งผลต่อปากท้องของประชาชนคนรากหญ้า...........”

 

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ขอชี้แจงทำความเข้าใจต่อกรณีดังกล่าวว่า

“จากความเห็นข้างต้นประกอบถ้อยคำของร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ 6. (1) ที่กำหนดว่า “การให้กู้ยืมเงินที่รวมกันทุกสัญญาแล้วตั้งแต่สองล้านบาทขึ้นไป สหกรณ์ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้สมาชิกผู้กู้ส่งข้อมูลเครดิตจากบริษัทข้อมูลเครดิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตเพื่อประกอบการพิจารณาให้เงินกู้” นั้น

NCBแจง “ไม่บังคับสหกรณ์ที่มีธุรกรรมสินเชื่อต้องเป็นสมาชิก “เครดิตบูโร”

จะเห็นได้ว่าร่างกฎกระทรวง ฯ ระบุให้ผู้กู้มาตรวจสอบข้อมูลของตนเองที่เครดิตบูโร (ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตคือการใช้สิทธิตรวจสอบข้อมูลของเจ้าของข้อมูลตามมาตรา 25) แล้วนำส่งให้แก่สหกรณ์ที่ตนเองขอกู้ยืมเพื่อประกอบการพิจารณา มิใช่การบังคับให้สหกรณ์เข้าระบบเครดิตบูโร

 

 กรณีการนำสหกรณ์เข้าสู่ระบบเครดิตบูโรจะต้องเป็นการที่สหกรณ์มาสมัครเป็นสมาชิกเครดิตบูโร สามารถเรียกดูข้อมูลตรงมายังเครดิตบูโรภายใต้ความยินยอมของผู้กู้ (ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตดำเนินการในฐานะสมาชิกตามมาตรา 20) และต้องส่งข้อมูลประวัติการชำระหนี้สัญญาเงินกู้ด้วยทุกเดือน ซึ่งเป็นคนละกรณีกับร่างกฎกระทรวงฯ นี้โดยสิ้นเชิง และสหกรณ์นั้น ๆ จะต้องสมัครใจและมีความพร้อมจึงจะเข้าระบบเครดิตบูโรได้“

 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีสหกรณ์ออมทรัพย์หลายรายที่ได้เข้าสู่ระบบเครดิตบูโรแล้วในฐานะสมาชิกแม้ไม่มีร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับนี้ ด้วยความสมัครใจเนื่องจากเห็นประโยชน์ในภาพรวมของการบริหารจัดการเงินฝากของสมาชิกที่นำมาปล่อยกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

นอกจากนี้ สหกรณ์หลายแห่งก็ยังดำเนินการออกเกณฑ์การกู้ยืมเงินโดยให้ผู้กู้มาตรวจสอบข้อมูลของตนเองที่เครดิตบูโรแล้วนำส่งให้แก่สหกรณ์ประกอบคำขอกู้เป็นปกติแม้วงเงินกู้ยืมไม่ถึงสองล้านบาทเช่นกัน

 

การที่ผู้ให้กู้ยืมนำข้อมูลจากเครดิตบูโรไปร่วมพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อให้ได้เห็นวงเงินเป็นหนี้รวมตามความจริงว่าจะเป็นภาระในการผ่อนชำระแก่ผู้กู้มากเกินไปหรือไม่ ตามหลักการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Lending) กล่าวคือ ผู้ให้กู้ยืมจะต้องดูให้แน่ใจว่าให้สินเชื่อไปแล้วคุณภาพชีวิตลูกหนี้ดีขึ้นหรือเลวลงนั่นเอง