ประธานสมาคมธนาคารไทยชี้ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น หาทางประคองกลุ่มเปราะบาง

19 ก.ค. 2565 | 22:43 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ค. 2565 | 07:30 น.

"ผยง ศรีวณิช"ประธานสมาคมธนาคารชี้แบงก์เผชิญความท้าทายต่อเนื่องและยาวเหตุปัจจัยเสี่ยงเพิ่ม รับกระทบลูกหนี้และกิจกรรมแบงก์ รุดหาทางประคองและสร้างกลุ่มเปราะบางรับมือฝ่าเศรษฐกิจถดถอย

นายผยง  ศรีวณิช  กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมธนาคาร ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน  ทั้งความเปราะบาง  หนี้ครัวเรือนสูง  เงินเฟ้อสูง

ประธานสมาคมธนาคารไทยชี้ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น หาทางประคองกลุ่มเปราะบาง

จึงเป็นความท้าทายต่อเนื่อง  และยาว   เนื่องจากหลังออกจากการระบาดของโควิด ต้องเจอกับอีกวิกฤตหนึ่ง   ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นย่อมส่งผลกระทบกับลูกหนี้ของธนาคารและกิจกรรมของธนาคาร

 

"ช่วงนี้ธนาคารในระบบอยู่ในช่วงประคองและสร้าง   เพราะแม้ว่าระบบแบงก์จะมีฐานะที่แข็งแรง แต่ต้องประคองลูกหนี้ให้ดี  เพราะหากเมื่อไรที่จะเกิดสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยหรือดอกเบี้ยปรับขึ้น  ซึ่งทางการเองพยายามจะSoft Landing อยู่แล้ว  แต่ในกระบวนการต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านจะเกิดการสะเท้อนต่อผู้ประกอบการและระบบธนาคารพอสมควร"

ประธานสมาคมธนาคารกล่าวเพิ่มเติมว่าภายใต้อัตราเงินเฟ้อที่เป็นปัจจัยอ่อนไหวกับผู้มีรายได้น้อย  จึงเป็นภาวะที่ต้องประคองลูกหนี้และธุรกิจต่อเนื่อง 

ประธานสมาคมธนาคารไทยชี้ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น หาทางประคองกลุ่มเปราะบาง

ซึ่งต้องเข้าใจว่าภาคธนาคารประคองลูกหนี้มาแล้วรอบหนึ่งในช่วงการระบาดของโควิด  เมื่อมีความหวังว่าจะฟื้น หลังออกจากโควิด แต่กลับมาเจอพายุอีกระลอก เพราะฉะนั้นการประคองต้องต่อเนื่องและยาวขึ้น  ซึ่งต้องระมัดระวัง

 

ต่อข้อถามถึงสถานะลูกหนี้ 2ล้านรายที่อยู่หน้าผาเอ็นพีแอลหรือ NPL Cliff นั้น นายผยงกล่าวว่า  สถานะของลูกหนี้กลุ่มนี้มีทั้งดีขึ้นบ้างและไหลเป็นหนี้จัดชั้น  แต่เมื่อพายุลูกใหม่มาจะต้องประคองกันต่อไป  แต่โดยภาพรวมยังคงมีความเสี่ยงอยู่  เพราะหากพิจารณาจากหนี้ Stage3  กับ Stage2ของทั้งระบบในไตรมาส1ที่ผ่านมา  รวมกันเกือบ 10%   (Stage3 สัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.9%และStage2อยู่ที่ 6.09%) ซึ่งตัวเลขนี้ก็ต้องเฝ้าระวัง  ส่วนหนี้ที่อยู่ Stage1 อยู่แล้วบางรายเกิดจากมาตรการฟ้าส้ม หรือมาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืนซึ่งมีหลายขยัก คือ ทั้งความเปราะบาง และโอกาสยังมีอยู่ ซึ่งปีนี้จะมีบางคนที่กลับมาได้ ขณะเดียวกันต้องพยายามประคอง ยืดออกไปอีก

“ เรากำลังคุยกันอยู่   เพราะมาตรการของธปท.มีให้เป็นเครื่องมือ ซึ่งถือว่าเครื่องมือมีครบ  แต่ในการนำไปใช้ต่อเนื่องขึ้น  แบงก์ชาติจะผ่อนคันเร่ง หมายถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะมีผลกับกลุ่มลูกหนี้ที่เปราะบางแน่นอน และในระบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะติดตามเรื่องการชะลอผ่อนคันเร่ง  ซึ่งต้องเน้นการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ภาระหนี้ที่จะต้องผ่อนชำระสอดคล้องกับรายได้และรายจ่าย  เพราะต้นทุนที่สูงในช่วงเวลาดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น”

 

 ขณะเดียวกันในมุมของธนาคารกรุงไทย ยังคงเฝ้าระมัดระวังหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)และมีทางเลือกภายใต้มาตรการช่วยเหลือต่างๆตามความเหมาะสมโดยจะไม่เหวี่ยงแห

 

ต่อข้อถามถึงข้อเรียกร้องต่อกระทรวงการคลัง  กรณีถ้า ธปท.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอาจจะขอให้ธนาคารชะลอการปรับดอกเบี้ยไม่ให้เร็วเกินไป  เพราะห่วงว่าจะกระทบลูกหนี้นั้น 

 

นายผยงกล่าวว่า ต้องดูเป็นระบบ หากกลไกการตลาดทำงาน  การไปฝืนกลไกตลาดก็จะมีความบอบซ้ำของระบบในบางส่วน ซึ่งจุดนี้จะต้องดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะประคองไม่ให้เกิดความบอบช้ำในระบบ  เช่นเดียวกับการไปฝืนในช่วงน้ำท่วมจะหมุดใต้ดินน้ำก็ท่วมอยู่ดี

 

กรณีในอนาคตหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารในระบบมีกันชนที่พอเพียง  โดยธนาคารพาณิชย์ออกตราสารทางการเงินที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่1 (AT1) ในหลายธนาคาร ซึ่งเพิ่มเติมจากที่ได้สะสมเงินกองทุนมาตั้งแต่ต้มยำกุ้ง  บวกกับ อัตราการสำรองต่อหนี้เสีย (NPL  Coverage Ratio) ของระบบธนาคารพาณิชย์ก็อยู่ในระดับสูงมาก และอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งหมดต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio: CAR) อยู่ในระดับที่สูง  สภาพคล่องก็ไม่ได้เป็นประเด็น

 

สำหรับกรณีธปท.ยกเลิกการลดวงเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งในปีหน้าธนาคารต้องนำส่งFIDFเป็นอัตราเดิมที่ 0.46% นั้นประธานสมาคมธนาคารไทยระบุว่า  โดยภาพรวมเมื่อเป็นต้นทุนพื้นฐานของระบบซึ่งไม่สามารถจะไปฝืน  เป็นแต่เพียงจะประคองให้ช้าหรือเร็ว จังหวะที่ให้มีผลกระทบน้อยที่สุดซึ่งการจัดเก็บเงินนำส่งFIFDในอัตรา 0.47% ที่เป็นต้นทุนก็ได้มีการพูดคุย