ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 32,197.59 จุด เพิ่มขึ้น 436.05 จุด หรือ +1.37%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,023.61 จุด เพิ่มขึ้น 102.56 จุด หรือ +2.62% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,032.42 จุด เพิ่มขึ้น 469.85 จุด หรือ +4.06%
ดัชนี S&P500 ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. และหุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นมากที่สุด 5.11% และ 4.29% ตามลำดับ
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นขานรับเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาด โดยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟด มีมติเป็นเอกฉันท์ 12-0 ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมวันพุธ (27 ก.ค.) ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นการดำเนินการที่เข้มงวดที่สุดของเฟด นับตั้งแต่ที่เฟดกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นเครื่องมือสำคัญด้านนโยบายการเงินในช่วงทศวรรษ 1990 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้อยู่ที่ระดับ 2.25-2.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2561 โดยเฟดพยายามที่จะสกัดกั้นภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ขณะที่การแสดงความเห็นของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในการแถลงข่าวนั้น ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่า อัตราการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะชะลอลง
นอกจากนี้ การเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนได้ช่วยหนุนตลาดด้วย โดยหุ้นไมโครซอฟท์ พุ่ง 6.7% หลังคาดการณ์รายได้เพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักในปีงบการเงินนี้โดยได้แรงหนุนจากความต้องการบริการด้านระบบคลาวด์
หุ้นอัลฟาเบท พุ่ง 7.7% หลังเปิดเผยยอดขายโฆษณาบนกูเกิลที่ดีเกินคาด ซึ่งคลายความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของตลาดโฆษณา
หุ้นที-โมบาย ยูเอส อิงค์ พุ่งขึ้น 5.2% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของจำนวนผู้ใช้บริการเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ และคาดการณ์ผลกำไรรายไตรมาสสูงเกินคาด