นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ว่า ยังแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway โดยนักลงทุนจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กลางสัปดาห์นี้ ประเมินทิศทางดอกเบี้ย และเศรษฐกิจในประเทศ หลังจากการรายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 528,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. พุ่งขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 258,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.5% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.6% ทำให้นักลงทุนวิตกว่า เฟด อาจจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยต้องจับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,570-1,620 จุด
ทั้งนี้ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันหลังจากจีนยังซ้อมรบรอบเกาะไต้หวัน ขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส โรนัลด์ เรแกน (USS Ronald Reagan) และกองเรือคุ้มกันของสหรัฐยังคงประจำการอยู่ในทะเลจีนใต้นานกว่าที่วางแผนไว้ในตอนแรก
พร้อมทั้งสถานการณ์ในประเทศ ซึ่งทาง ส.อ.ท.เฝ้าติดตามสถานการณ์ขาดแคลนชิปส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจีนงดส่งออกทรายดิบป้อนไต้หวัน ดันราคาชิปพุ่งต้นทุนเพิ่ม ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เดือนกรกฎาคม 2565 ดัชนีความเชื่อมั่นปรับลดลงมาอยู่ที่ 49.4 จาก 50.5 ในเดือนก่อน
ดังนั้นคาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กลางสัปดาห์นี้น่าจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายราว 0.25% ปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 ปี จากระดับเดิม 0.5% ที่ประกาศไว้ตั้งแต่การประชุม กนง.เมื่อเดือนพ.ค. 2563 และการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/2565 และ 6 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งวันที่ 15 สิงหาคมเป็นวันสุดท้ายในการแจ้งงบ
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารที่คาดว่าได้ประโยชน์จากธปท.เลิกเพดานจ่ายปันผลและทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น พร้อมจับตาการประชุม กนง. ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ขณะที่สำนักวิจัยหลายแห่งล้วนคาดการณ์ว่าจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จึงแนะนำสะสมหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ได้ แก่ KBANK BBL KTB SCB และ TISCO
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ยังคงต้องจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมของสหรัฐ เนื่องจากราคาน้ำดิบปรับตัวลดลงต่ำกว่า 90 เหรียญต่อบาร์เรล อาจปรับเงินเฟ้อเริ่มอ่อนตัวลง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อตลาด ขณะที่มุมมองจากประธานเฟด สาขาชิคาโกชี้เศรษฐกิจสหรัฐสามารถรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้และผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เนื่องจากตัวเลขภาคแรงงานและผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทในสหรัฐส่วนใหญ่ออกมาแข็งแกร่ง ทำให้มีแรงซื้อกลับตลาดจึงรีบาวด์ขึ้น
ดังนั้นฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาทองคำมีแนวโน้ม Sideway Up เนื่องจากตอบรับข่าวการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ขณะที่แรงหนุนจากความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐยังคงอยู่ อาจทำให้ราคาทองคำซื้อขายในกรอบ 1,750-1,830 $/oz หากไม่หลุดแนวรับทยอยเข้าซื้อสะสม