นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง Satang Pro และผู้ร่วมก่อตั้งเหรียญ Firo เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดคริปโตขณะนี้ ยังไม่รู้จุดต่ำสุดของภาวะตลาดหมีนี้ ดังนั้นในภาวะตลาดขาลงแบบนี้ จึงไม่ต้องรีบเร่ง ถ้าเงินที่ลงทุนตอนนี้เป็นเงินเย็นยังไม่ต้องรีบขาย ใช้เวลาศึกษาโปรเจกต์
ถ้าคริปโต ที่ยังมีการพัฒนาโปรเจกต์อยู่ มีการดูแล Community ที่ดี ก็จะฉุกคิดได้ว่า โปรเจกต์เหล่านั้นตั้งใจพัฒนาจริง เป็นตัวจริง แล้วรอสร้างผลกำไรจากตลาดได้ในช่วงขาขึ้น (Bullish) และเราก็จะสามารถปรับตัวได้ทันในตลาดหมีรอบหน้าด้วย ซึ่งตลาดขาขึ้นจะกลับมาในปี 2024 ได้มั๊ย อันนี้ยังตอบได้ยาก
นายปรมินทร์กล่าวถึงกรณีที่ Ethereum อัปเกรด The Merge ว่า มองว่า การอัปเกรด The Merge เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ราคา ETH ขึ้น แต่มองไว้สองระยะคือ ช่วงกำลังอัปเกรดและช่วงที่อัปเกรดเสร็จเรียบร้อยในสัปดาห์แรก หลังจากนั้น ราคาน่า จะลดลง ระบบการทำงานใหม่อย่าง PoS อาจส่งให้เกิดแรงกดดันในการขายน้อยไปและสภาพคล่อง ETH จะลดลง
ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดให้ยื่นคำขอ License Custodian นั้น มองว่าไม่เกี่ยวกับกรณีของ Zipmex เรื่องของ License Custodian มีการพูดถึงมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงก่อนตลาดกระทิงปีที่แล้ว จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดกับ Zipmex และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตามลำดับตั้งแต่การหารือ ออก Hearing และประกาศแจ้ง ทุก Exchange ที่มีใบอนุญาตทราบดีว่าจะต้องมีการแยก License Custodian
“ในส่วนของ Satang Pro ผมในฐานะกรรมการอิสระ อาจจะไม่ทราบการจัดการอย่างแน่ชัด แต่ทุก Exchange สินทรัพย์และคริปโต ของลูกค้าให้ถือเป็นภาระหนี้ที่บริษัทต้องรับไว้ ซึ่งไม่สามารถแตะต้องหรือหาผลประโยชน์ได้ ทั้งนี้ เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและการกำกับดูแลของ ก.ล.ต. อยู่แล้วด้วย”นายปรมินทร์กล่าว
ด้านนายชัชวาลย์ วัฒนะโชติ เจ้าของช่อง Kim Property กล่าวว่า ปัจจุบันตลาด คริปโต ถือว่าเป็นที่สนใจระดับวงกว้างแล้ว เพราะมีทั้งกองทุนหรือบริษัทใหญ่ๆ เข้ามาถือคริปโตด้วย สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ ตลาดทุนหรือเศรษฐกิจโลกมีความสัมพันธ์กับตลาดคริปโต เช่น เมื่อตลาดหุ้นราคาขึ้นหรือลง ฝั่งคริปโตก็ผันผวนตาม
สำหรับช่วงไตรมาส 3-4 มองถึง แรงกดดันและเหตุการณ์ที่น่าจับตา ยังเป็นเรื่องของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่ก่อนหน้าก็มีการปรับไป 3 ครั้ง ที่ระดับ 0.25% 0.5% 0.75% และอาจจะขึ้นต่ออีกในปลายปี ซึ่งหากสถานการณ์ยังย่ำแย่ เพราะการปรับดอกเบี้ย จำเป็นต้องมากกว่าเงินเฟ้อ เช่น เงินเฟ้ออยู่ที่ 5% ดอกเบี้ย 7%
รวมไปถึงการทำ QT หรือการปรับสภาพคล่องที่ยังดำเนินการไปได้ไม่มาก และความเสี่ยงจากปัจจัยที่ 3 คือ ให้ระวังวิกฤตฟองสบู่ตลาดอสังหาฯ และวิกฤตสงครามระหว่างประเทศ ทั้ง จีน รัสเซีย ไต้หวัน ที่ยังคงส่งผลในปีนี้หรืออาจจะกินเวลาไปจนถึงในปีหน้าเลย ดังนั้นตอนนี้บอกได้ว่า สถานการณ์ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่า จะออกหัวหรือก้อย จึงแนะนำให้ถือเงินสดเป็นหลักสำคัญ เผื่อไว้ในระยะเวลา 6 - 7 เดือน
ส่วนการจัดพอร์ตระยะสั้น เล็งเห็นถึงข้อดีของการปรับขึ้นดอกเบี้ย คือ อาจะซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ เพราะผลตอบแทนค่อนข้างน่าสนใจ สำดับถัดมามองที่ หุ้น Growth ที่สามารถสร้างผลกำไรได้ดีจาก Clash Flow เช่น Apple, Google, Amazon และจึงจะเป็นคริปโต ในลำดับสุดท้าย
“ผมยังคงเน้นย้ำว่า ให้ใช้เงินเย็นจริง ๆ มาลงทุน และต้องศึกษาให้ดีรู้จุด Take Profit & Cutloss ตั้งให้ดี เพราะถ้ากระทบหรือผิดทาง อาจสูญเงินไปในทั้งหมด และหากมีความเชี่ยวชาญมากพออาจจะลองทำการบ้านเพิ่มในเรื่องของ NFT หรือถือเหรียญสกุลรองอื่นๆ”นายชัชวาลกล่าว
ส่วนตลาดขาขึ้นของคริปโตจะกลับมาในปี 2024 คงต้องดูหลายเหตุการณ์ประกอบ ทั้งการต้องเกิดแรงกระแทกแรง ๆ จากนโยบายของ เฟด หรือเศรษฐกิจถ้ายังถดถอย ก็มีโอกาสที่เฟดที่จะกลับลำอัดฉีดเงินเข้าไปใหม่แต่คงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ ในส่วนเหตุการณ์การอัปเกรด The Merge ของ Ethereum น่าจะเป็นตัวแปรหนึ่งที่จะเปลี่ยน Tokenomics แต่ไม่ใช่ตัวแปรหลัก มองในบวกก็ช่วยดันราคาตลาดและสร้างแรงกระเพื่อมได้ในแง่การยกฐาน