เข้าสู่ฤดูกาลจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับงวดผลประกอบการรอบ 6 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกาศผลดำเนินงานเสร็จสิ้นไปแล้ว ทั้งนี้จากข้อมูลการจ่ายปันผลระหว่างกาลในปี 2564 พบว่ามี 225 บริษัท มีอัตราเงินปันผลตอบแทน ( Divedend Yield ) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.77%
ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนนิยมจ่ายปันผล 2 แบบ คือ
ความแตกต่างระหว่างจ่ายปันผลเป็น"เงินสด"กับจ่ายเป็น"หุ้น"
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (DBSV) กล่าวว่า กรณีที่เลือกรับเป็นเงินสด หมายถึง รายได้และเงินจะถูกโอนเข้าบัญชีนักลงทุนโดยตรง บริษัทที่เลือกจ่ายปันผลด้วยวิธีนี้ต้องมีกระแสเงินสดเพียงพอ
ซึ่งข้อดี ก็คือ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น ด้านผู้ถือหุ้นมองว่าบริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินดี ผลประกอบการแข็งแกร่ง ไว้วางใจว่าบริษัทจะสร้างความมั่งคั่งไปพร้อม ๆ กับการสร้างธุรกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ที่สำคัญจะไม่เกิด Dilution Effect (จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นลดลง)
ขณะที่การรับปันผลเป็นหุ้น หุ้นก็จะถูกโอนเข้าพอร์ตลงทุนของนักลงทุนโดยตรง ซึ่งบริษัทมักจะเก็บเงินสดเอาไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) เตรียมขยายการลงทุนโดยไม่ต้องไปกู้ยืม หรือเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้น (เพิ่ม Free Float) อีกทั้ง ประเมินว่าในปีถัดไปธุรกิจมีโอกาสฟื้นตัวและผลประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และไม่กังวลเกี่ยวกับการเกิด Dilution Effect
แต่ข้อกังวล คือ หากในปีถัดไปผลประกอบการเติบโตน้อยกว่า Dilution Effect จะทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ลดลง และหากกำไรในปีถัดไปเติบโตน้อยกว่าการเกิด Dilution Effect บริษัทอาจต้องประเมินว่าจะจ่ายปันผลเป็นหุ้นลดลงหรือไม่
จ่ายเป็นเงินสด หรือหุ้น เลือกแบบไหนดี
หากพูดถึงความนิยม นักลงทุนส่วนใหญ่ยังชื่นชอบหุ้นปันผลที่จ่ายเป็นเงินสด โดยเฉพาะผู้ที่มีความต้องการเงินสดเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น วัยเกษียณ หรือมีแผนนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น กองทุนรวม ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักลงทุนหลายคนชื่นชอบการได้รับเงินปันผลเป็นหุ้น เพราะหุ้นปันผลที่ได้รับอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทำให้ได้รับอัตราผลตอบแทนที่ดี หมายความว่า เมื่อเวลาผ่านไปหากราคาหุ้นขยับขึ้น เช่น วันที่รับปันผลเป็นหุ้น ราคาหุ้นอยู่ที่ 2 บาท วันนี้ราคาหุ้นอยู่ที่ 5 บาท มูลค่าเพิ่มที่ได้รับอาจมากกว่าการได้เงินปันผลเป็นเงินสด ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่เชื่อมั่นว่าธุรกิจจะเติบโตในระยะยาว หรือผู้ที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เช่น ผู้ที่มีรายได้ประจำและต้องการให้หุ้นปันผลอยู่ในแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ เป็นต้น