เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 “ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวสุนทรพจน์ เปิดงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2565 ใน หัวข้อ ก้าวสู่ยุคใหม่เศรษฐกิจการเงินไทย Strengthening Economic and Financial Foundations for the Next Generation โดยระบุว่า
งานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่มีความท้าทายยิ่ง ไม่เพียงแต่เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ประเทศไทยยังเผชิญกับความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้นั้นคือ คนรุ่นต่อไป (next generation) ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยเรียน คนวัยเริ่มทำงาน หรือคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่จะเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
ดังนั้น การวาง “รากฐาน” (foundations) ของระบบเศรษฐกิจและการเงินที่เอื้อต่อการสร้างศักยภาพและความมีส่วนร่วมให้กับคนรุ่นใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นที่มาของงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในวันนี้ภายใต้หัวข้อ “ก้าวสู่ยุคใหม่เศรษฐกิจการเงินไทย Strengthening Economic and Financial Foundations for the Next Generation”
คนรุ่นใหม่เป็นกลุ่มคนที่มีพลัง กล้าคิดกล้าลอง อยากเรียนรู้ สนใจในโอกาสที่เพิ่มขึ้นจากโลกที่ไร้พรมแดนและนวัตกรรม คนรุ่นใหม่จึงเต็มไปด้วยศักยภาพที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าคนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากยังขาดความมั่นคงในอนาคต (insecurity) ในหลายด้าน
ในด้านที่หนึ่งนั้น คนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (economic insecurity)
ประการแรก คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญกับความท้าทายในการหาเลี้ยงชีพและการสร้างรายได้ที่มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นก่อนๆ ที่สั่งสมความมั่งคั่งในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงอย่างต่อเนื่อง จากอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยที่สูงถึง 7.2% ต่อปีในช่วงทศวรรษ 1980s ลงเหลือ 3.6% ในช่วงทศวรรษ 2010s
ประการที่สอง การศึกษาและการพัฒนาทักษะของคนรุ่นใหม่ให้ทันสมัยอยู่เสมอทำได้ยากขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน เนื่องจากบริบทโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและความไม่แน่นอนในอนาคตที่สูงขึ้น ทั้งจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด กระแสความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่เข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างคำถามต่อคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยเรียนหรือคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ว่าทักษะใดที่จะตอบโจทย์ความต้องการของโลกในอนาคต (skills for the future) งานและรูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างไร อาชีพปัจจุบันจะอยู่รอดและเติบโตในอนาคตหรือไม่ (future of work)
ประการที่สาม คนรุ่นใหม่มีภาระหนี้ที่สูงกว่าคนรุ่นก่อนๆ คนไทยเริ่มเป็นหนี้เร็วขึ้น และเป็นหนี้เสียตั้งแต่อายุยังน้อย โดยครึ่งหนึ่งของคนอายุประมาณ 30 ปี มีหนี้จากสินเชื่ออุปโภคบริโภคหรือหนี้จากบัตรเครดิต ขณะที่หนึ่งในห้าของคนที่เป็นหนี้เสียกระจุกอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ช่วงอายุ 29 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนวัยทำงานและอยู่ในช่วงสร้างรากฐานครอบครัว
ในด้านที่สองนั้น คนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากขาดความมั่นคงทางสังคม (social insecurity)
คนไทยรุ่นใหม่เติบโตมาในช่วงที่ความขัดแย้งทางสังคมมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของ World Value Survey ที่พบว่าประเทศไทยมีคะแนนความเชื่อใจกันของคนในสังคมลดลงถึงหนึ่งในสี่ในช่วงเวลาเพียง 10 ปี ระหว่างปี 2551-2561
ส่วนผลสำรวจเรื่องความแตกแยกในสังคมโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างของคนอายุต่ำกว่า 40 เห็นว่าสังคมไทยมีคุณภาพต่ำกว่า เมื่อเทียบกับความคิดเห็นจากกลุ่มคนอายุ 40 ขึ้นไป ซึ่งสถานการณ์นี้ไม่ได้จำเพาะเจาะจงกับประเทศไทยเท่านั้น ผลการสำรวจจากกว่า 40 ประเทศของ Deloitte Global Millennial Survey พบว่ามีคนรุ่นใหม่แค่ 36% ในกลุ่มตัวอย่างในปี 2560 ที่คาดว่าสภาพสังคมและการเมืองจะดีขึ้น และสัดส่วนนี้ยังลดลงเหลือเพียง 24% ในปี 2562
สิ่งที่น่ากังวลสำหรับประเทศไทยคือ ความไม่มั่นคงทางสังคมนี้ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะลดลงในอนาคต ซึ่งเกิดจากการบริโภคสื่อที่มีความเห็นใกล้เคียงกับคนฝั่งเดียวกัน (echo chamber) ในระดับสูง มีแนวโน้มที่จะมีความคิดสุดขั้วและรู้สึกอคติต่อคนฝั่งตรงข้ามมากกว่า รวมถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยที่สูง โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำทางโอกาส ยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความตึงเครียดและความไม่มั่นคงในสังคม
ในด้านที่สามนั้น คนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากขาดความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม (environmental insecurity)
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เร่งตัวและรุนแรงขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน โดยไทยถือเป็นประเทศลำดับต้น ๆ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากภัยธรรมชาติ ขณะที่ขีดความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติของไทยค่อนข้างต่ำ โดยอยู่ในอันดับที่ 39 จาก 48 ประเทศ
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคตของคนไทย ไม่เพียงแต่รายได้และทรัพย์สินที่เสียหายจากภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังกระทบการผลิตในภาคเกษตรที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญของคนไทย นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นจะทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมีความเสี่ยงสูงที่จะประสบภาวะน้ำท่วม
ดังนั้น การขาดความมั่นคงในอนาคตทางสิ่งแวดล้อมของคนรุ่นใหม่จึงครอบคลุมถึงการขาดความมั่นคงทางอาหาร (food insecurity) และการขาดความมั่นคงในถิ่นฐานที่อยู่ (insecurity in human settlements) อีกด้วย
ความไม่มั่นคงในอนาคตเหล่านี้จะบั่นทอนแรงจูงใจ ความพร้อม และโอกาสของคนรุ่นใหม่ที่จะพัฒนาทักษะ ลงทุน บุกเบิกธุรกิจใหม่ๆ และก้าวเข้ามาเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง
ผู้ว่าธปท.กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่คนไทยรุ่นใหม่ไม่มีความมั่นคงในอนาคตนี้เกิดจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือการที่ระบบต่างๆ ในประเทศไทยปรับเปลี่ยนไม่ทันต่อบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่พร้อมรับมือกับอนาคต ซึ่งผมขอยกตัวอย่าง 3 ตัวอย่าง
ตัวอย่างที่หนึ่ง คือ โครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่ตอบสนองต่อบริบทของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป อุตสาหกรรมหลักของไทย ได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเลียมและปิโตรเคมี เป็นอุตสาหกรรมโลกเก่า ซึ่งคิดเป็น 40% ของมูลค่าส่งออกสินค้าทั้งหมด 37% ของ GDP ภาคอุตสาหกรรม และ 10% ของ GDP รวม ในขณะที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปจะถูกกระทบจากการเปลี่ยนเป็น EV จากความต้องการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ลดลงถึง 90%
สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ไทยอาจไม่ได้ประโยชน์จากกระแส digitalization และ EV เนื่องจากผลิตสินค้าที่เติบโตต่ำ เช่น hard disk drives คิดเป็น 38% ของการส่งออกในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีมีแนวโน้มที่กระแสสิ่งแวดล้อมจะทำให้ความต้องการใช้พลาสติกและน้ำมันลดลง
ตัวอย่างที่สอง คือ ระบบการศึกษาไม่ตอบสนองต่อตลาดแรงงานที่เปลี่ยนไปทำให้อาชีพของคนไทยในปัจจุบันไม่ได้ตรงกับระดับการศึกษามากนักเมื่อเทียบกับในอดีต งานวิจัยโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ พบว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว คนที่จบปริญญาตรีร้อยละ 80 ทำงานในอาชีพที่ถือว่าเป็นอาชีพทักษะสูง (high skill)
แต่ในปัจจุบันคนที่จบปริญญาตรีกลับทำงานในกลุ่มอาชีพที่ใช้ทักษะระดับกลาง (middle skill) มากขึ้น ส่วนกลุ่มที่จบอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาที่ส่วนหนึ่งเคยได้ทำงานกลุ่มทักษะกลางและสูง ปัจจุบันก็ถูกผลักไปทำงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะ (low skill) เป็นส่วนใหญ่
ตัวอย่างที่สาม คือ การขาดการแข่งขันที่เป็นธรรมในภาคธุรกิจที่ไม่เอื้อต่อการเข้ามาประกอบกิจการของผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งเป็นการจำกัดศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่มีความความสามารถแต่ขาดโอกาส งานวิจัยโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ พบว่า อัตราการเข้าสู่ตลาดของธุรกิจรายใหม่ (entry rate) มีแนวโน้มลดลงในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่บริษัทเดิมในอุตสาหกรรมมีอำนาจผูกขาดมากขึ้น ในบริบทโลกใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พลวัตของภาคธุรกิจที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
การสร้างความมั่นคงในอนาคตให้กับคนรุ่นใหม่จึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนและเสริมสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจให้สอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งภาพหรือรูปร่างหน้าตาการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (shape of growth) ที่ควรจะเป็นควรครอบคลุมมิติต่อไปนี้
หนึ่ง โครงสร้างเศรษฐกิจไทยต้องเปิดโอกาสให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสที่สูงในหลายมิติควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ บริการสุขภาพ เทคโนโลยี บริการทางการเงิน รวมถึงโอกาสในการประกอบอาชีพและโอกาสทางธุรกิจ เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ใช้ศักยภาพของตนตอบสนองความต้องการในระบบเศรษฐกิจในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งยังช่วยลดการกระจุกตัวของความเจริญทางเศรษฐกิจ
สอง ระบบเศรษฐกิจจะต้องเอื้อให้คนรุ่นใหม่สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ประโยชน์ได้ ทั้งในการยกระดับการผลิตในภาคเศรษฐกิจปัจจุบันที่สะท้อนจุดแข็ง (comparative advantage) ของประเทศ เช่น การทำเกษตรอัจฉริยะ (smart farming) และการใช้ช่องทางทาง e-commerce ในการขายสินค้า รวมถึงการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งภาคเศรษฐกิจและการเงินในอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในบริบทโลกใหม่
สาม ระบบเศรษฐกิจต้องมีโครงข่ายความคุ้มครอง (safety nets) เพื่อให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะบุกเบิกแสวงหาโอกาสใหม่ในการลงทุนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้
การเสริมสร้างรากฐานให้ระบบเศรษฐกิจการเงินของไทยก้าวทันบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพื่อช่วยให้คนรุ่นต่อไปสามารถใช้ศักยภาพที่มีในการร่วมพัฒนาประเทศของเราจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาครัฐ
ชูแนวนโยบาย 2ด้าน
ธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็มีบทบาทในการดูแลรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินเพื่อให้เศรษฐกิจไทยมั่นคงและยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจและครัวเรือนเพื่อเพิ่มรายได้และความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง นโยบายต่างๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีส่วนในการช่วยสร้างความมั่นคงในอนาคตให้แก่คนรุ่นใหม่ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ผมขอยกตัวอย่างแนวนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย 2 ด้านที่มีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงในอนาคตให้กับคนรุ่นต่อไป
แนวนโยบายแรก คือแนวนโยบายเพื่อเพิ่มโอกาสให้ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้นในต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผลักดันนโยบายนี้ด้วยแนวทาง 3 Open ได้แก่
แนวนโยบายที่สอง คือแนวนโยบายในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนสามารถปรับตัวให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยให้ภาคการเงินเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและบริการทางการเงินที่จำเป็นต่อการปรับตัว ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกแนวนโยบายการพัฒนาสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเพื่อสนับสนุนให้ภาคการเงินผนวกเรื่องนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจและการบริหารความเสี่ยง
ธนาคารแห่งประเทศไทยหวังว่าแนวนโยบายทั้งสองนี้จะเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้คนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงโอกาสในการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ ยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม และสามารถใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ
"ท้ายที่สุดนี้ ผมขอขอบคุณคณะผู้วิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ร่วมเสวนาทุกท่าน ที่ให้เกียรติมาร่วมงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในปีนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานในปีนี้จะสร้างความตระหนักรู้และจุดประกายความคิดให้พวกเราทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของประเทศที่จะทำให้คนรุ่นใหม่มีความหวัง มีความมั่นใจ และพร้อมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญไปสู่ก้าวใหม่ของเศรษฐกิจไทย เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืนของคนไทยทุกคน"ผู้ว่าธปท.กล่าว