เงินปอนด์แข็งค่า เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐวานนี้ (25 ต.ค.) ที่ระดับ 1.1472 ดอลลาร์ จากเดิมอยู่ที่ระดับ 1.1280 ดอลลาร์ ขณะที่เงินยูโรแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.9961 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9878 ดอลลาร์ ขานรับข่าว การรับตำแหน่ง อย่างเป็นทางการของ นายริชี ซูนัค นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่
ขณะเดียวกัน ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.9% แตะที่ระดับ 110.9500
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 147.98 เยน จากระดับ 148.81 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9958 ฟรังก์ จากระดับ 1.0009 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3621 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3711 ดอลลาร์แคนาดา
การที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ด้วยประสบการณ์ของนายริชี ซูนัค ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังของอังกฤษ (ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลบอริส จอห์นสัน ระหว่างวันที่ 13 ก.พ. 2563 ถึง 5 ก.ค. 2565 ) และอดีตนักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ (ระหว่างปี 2544 – 2547) หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา และเงินเฟ้อที่พุ่งสูงของอังกฤษในขณะนี้
นายโนเอล ควินน์ ซีอีโอของธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ให้ความเห็นว่า การที่นายริชี ซูนัค ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ จะช่วยให้ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังจากเผชิญความวุ่นวายมาระยะหนึ่ง
ในวันแถลงข่าวรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวานนี้ (25 ต.ค.) นายซูนัค นายกฯคนใหม่ให้คำมั่นว่า เขาจะให้ประเด็นการรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเป็น “หัวใจ” ในวาระการทำงานของรัฐบาล ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลอาจจะต้องทำการตัดสินใจที่ยากลำบากตามมา แต่เขาจะ “ปกป้องประชาชนและภาคธุรกิจ” เหมือนกับที่ได้เคยดำเนินการในช่วงเกิดโควิด-19 จนประสบความสำเร็จมาแล้ว
ซูนัคยอมรับว่า อังกฤษกำลังเผชิญปัญหาท้าทายมากมาย และเขาพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาความผิดพลาดที่เกิดจากนโยบายของนางลิซ ทรัสส์ อดีตนายกรัฐมนตรี
"ประเทศของเรากำลังเผชิญปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะที่ผลกระทบจากโควิด-19 ยังคงมีอยู่ และการที่รัสเซียทำสงครามในยูเครนก็ได้ทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพในตลาดพลังงานและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก"
นอกจากข่าวดีซึ่งเป็น “ความหวัง” จากการมีผู้นำคนใหม่ของอังกฤษแล้ว ในช่วงสัปดาห์นี้ นักลงทุนกำลังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ (27 ต.ค.) ซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน
นอกจากนั้น นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย โดยในวันพุธ (26 ต.ค.) จะมีการเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย. ส่วนในวันพฤหัสบดี (28 ต.ค.) จะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2565 (ประมาณการเบื้องต้น) และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ย. สำหรับวันศุกร์ (29 ต.ค.) จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน