ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ว่า การประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 31 ม.ค. - 1 ก.พ. 2566 คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่ชะลอลงที่ 0.25% หลังเงินเฟ้อมีทิศทางอ่อนแรงลง
อย่างไรก็ดี เส้นทางดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้าคงขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมาเป็นสำคัญ โดยมองว่าหลังจากการประชุมครั้งนี้ เฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ คงไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 5.0% หากเงินเฟ้อมีทิศทางอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตัวแปรสำคัญ "เงินเฟ้อ" ที่ลดลง
ย้อนไปตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมาลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าเงินเฟ้อเริ่มอ่อนแรงลง ดังนั้น เฟดจึงแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลงที่ 0.25% ในการประชุมที่จะถึงนี้ หลังจากปรับขึ้น 0.50% ในการประชุมครั้งก่อนหน้า
ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. 2565 ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน โดยอยู่ที่ระดับ 6.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ต.ค. 2564 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่หักราคาอาหารและพลังงานก็ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันโดยอยู่ที่ 5.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในเดือน ธ.ค.
คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25%
แม้เงินเฟ้อจะอ่อนแรงลงแต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ ขณะที่ ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงสะท้อนภาพที่แข็งแกร่งอยู่ โดยยอดยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (สัปดาห์ 8-14 ม.ค. 2566) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 190,000 ราย ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ดังนั้น เฟดมีแนวโน้มที่จะยังคงต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงสะท้อนจากยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. 2565 ที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (ตัวเลขเบื้องต้นเดือน ม.ค. 2566) แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้การหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐฯ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2566
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรก มีแนวโน้มที่จะเห็นผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องในปีก่อนหน้าของเฟด และในภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้คาดว่าจะไม่เติบโต (GDP ขยายตัวราว 0%) ส่งผลให้เฟดอาจจำเป็นต้องให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้นในระยะข้างหน้า
มองเงินเฟ้อสหรัฐฯ เริ่มขาลง
ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ แม้จะยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2.0% อย่างมาก แต่คาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะค่อยๆปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ท่ามกลางแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้มุมมองที่ดีขึ้นต่อเศรษฐกิจจีนอาจจะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้ขยับขึ้นบ้าง แต่คาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์คงไม่กลับมาพุ่งสูงขึ้นดังเช่นในช่วงปี 2565 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ดังนั้น ภายใต้สมมุติฐานดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่า เฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียงแค่ 1 ครั้งในการประชุมเดือน มี.ค. 2566 ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ คงไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 5.0% และเฟดอาจคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับนั้นตลอดปี 2566
อย่างไรก็ดี หากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงคาอยู่ในระดับสูงและไม่ปรับลดลงเท่าที่ควร ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดยังคงจำเป็นต้องเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องไปเกินกว่าระดับ 5.0%