นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 798 บริษัท คิดเป็น 98.6% จากทั้งหมด 809 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC)
ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดปี 2565 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 619 บริษัท คิดเป็น 77.6% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
โดยผลการดำเนินงานงวดปี 2565 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 17,680,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.4% บจ. มีต้นทุนการผลิต 13,916,480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.8% กำไรจากการดำเนินงานหลัก 1,832,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.4% และมีกำไรสุทธิ 974,759 ล้านบาท ลดลง 1.9%
ทั้งนี้ในปี 2565 มีรายการพิเศษค่อนข้างสูง หากไม่รวมรายการดังกล่าวจะทำให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 5%
สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 31 ธันวาคม 2565 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.59 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.53 เท่า เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน
โดยในส่วนของ บจ. กลุ่มธุรกิจพลังงาน อาหาร บริการ และอสังหาริมทรัพย์มียอดขายดีขึ้น จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งการเปิดประเทศ และมาตรการลดค่าโอน และค่าจดจำนอง
อีกทั้งเศรษฐกิจที่ขยายตัวทำให้ธุรกิจธนาคารขยายตัวได้ดีเช่นกัน ทั้งนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนและต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตของกำไรชะลอตัวลง
ส่วนภาคธุรกิจที่มีกำไรสุทธิลดลง อาทิ ธุรกิจปิโตรเคมี ยางพารา เหล็ก และประกันภัย แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ซึ่งคาดว่านโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บจ. จะยังมีความท้าทายจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และการเพิ่มขึ้นของค่าพลังงาน
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปี 2565 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 214,691 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% มีกำไรจากการดำเนินงาน 12,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% และมีกำไรสุทธิ 7,413 ล้านบาท ลดลง 23.0%