CREDIT ปิดเทรดวันแรก 27.50 บาท ต่ำจอง 5.17% มูลค่าซื้อขายกว่า 867 ล้าน

09 ก.พ. 2567 | 10:43 น.
อัพเดตล่าสุด :09 ก.พ. 2567 | 10:57 น.

CREDIT ปิดเทรดวันแรก (9 ก.พ.67) ที่ระดับ 27.50 บาท ลบ 5.17% จากราคาไอพีโอ 29.00 บาท ด้านบล.ทิสโก้ มองมาตรการแก้หนี้นอกระบบของรัฐ หนุนกำไรจากดอกเบี้ย NIM เติบโตระยะยาว จากจุดแข็งธนาคารในสินเชื่อกลุ่ม"นาโนและไมโครไฟแนนซ์"

วันนี้ (9 ก.พ.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT ปิดซื้อขายวันแรกอยู่ที่ระดับ 27.50 บาท ลบ 1.50 บาท หรือลดลง 5.17% จากระดับราคาไอพีโอที่ 29.00 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาเดียวกับเปิดตลาด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 867.18 ล้านบาท ระหว่างวันราคาปรับสูงสุดที่  27.75 บาท  และต่ำสุดที่ระดับ 25.25 บาท
 

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ให้ความเห็นต่อหุ้นใหม่ "CREDIT" โดยระบุในบทวิเคราะห์ ( 9 ก.พ.67 ) ว่า เป็นธนาคารพาณิชย์เต็มไปด้วยประสบการณ์และความเข้าใจตลาดสินเชื่อรายย่อยธนาคาร ดำเนินธุรกิจด้วยความเชื่อที่ว่ายังมีผู้ประกอบการเป้าหมายอีกมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และขนาดกลางได้ จึงต้องหันไปพึ่งพาช่องทางการกู้ยืมเงินนอกระบบ โดยสินเชื่อที่เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ต คือ สินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี (MSME) และจากข้อจำกัดด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อย ทำให้ CREDIT เป็น 1 ในผู้เล่นสำคัญที่มีการเติบโตสูงในธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย โดยธนาคารมีการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการใช้กลไกการค้ำประกันของบสย. มาลดความเสี่ยงของพอร์ตสินเชื่อ

มาตรการแก้หนี้นอกระบบเป็นผลดีต่อ CREDIT

มาตรการแก้หนี้นอกระบบของรัฐบาล จะช่วยดึงลูกหนี้ที่มีข้อจำกัดและความเสี่ยงสูงเข้ามาในระบบได้มากขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นผลดีต่อ CREDIT เนื่องจากลูกค้ารายย่อยเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธนาคาร ขณะที่แนวโน้ม NPL เพิ่มขึ้น ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้
 

รายได้เติบโตตามการขยายตัวของสินเชื่อ

คาดรายได้จากดอกเบี้ยสุทธิเติบโต ตามการขยายตัวในทุกกลุ่มสินเชื่อหลักของธนาคาร โดยเฉพาะสินเชื่อ Nano และ Micro finance ซึ่งคาดว่าจะสามารถเติบโตต่อเนื่องได้อย่างน้อยในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจหลังโควิด-19 ทำให้ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการเพิ่มขึ้นในระยะสั้น และระยะยาวจะโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่มองว่า NIM ผ่านระดับสูงสุดไปแล้ว ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ทรงตัวตั้งแต่ 4Q23 เป็นต้นมา แต่ NIM ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ราวร้อยละ 8

กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น YoY และขยายตัวต่อเนื่อง จากรายได้ที่ขยายตัว NIM ที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งต้นทุนดำเนินงานและต้นทุนเครดิตลดลง ซึ่งธนาคารมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราส่วนต้นทุนการดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) ลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ในส่วนของพนักงาน ประกอบกับมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

การเข้ามาระดมทุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของ CREDIT ในครั้งนี้มีความเหมาะสม และมีปัจจัยติดตามต่อ คือ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อในอนาคต

ความเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ 2) คุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ 3) การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และการกำกับดูแล 4) ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย

จากการประเมินมูลค่าเบื้องต้นด้วยวิธี P/BV ที่ 2.0x-2.3x เท่า พบว่า มูลค่าใกล้เคียงกับราคา IPO