ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้7พ.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 36.76 บาทต่อดอลลาร์

07 พ.ค. 2567 | 00:30 น.

ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังมีอยู่ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ เงินปอนด์ เงินหยวน ส่วนเงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้น หาก BOE ส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้7พ.ค. 2567 ที่ระดับ  36.76 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  36.80 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ 17.00 น. วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม)

นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ ที่ผ่านมา (และช่วงวันหยุดพิเศษของตลาดการเงินไทย) เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในกรอบ 36.50-36.86 บาทต่อดอลลาร์)

โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทดสอบโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและกลับมาคาดการณ์ว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด

 อย่างไรก็ดี เงินบาทก็ไม่ได้แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและทยอยอ่อนค่าลงจากโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดช่วงเงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ

ส่วนเงินดอลลาร์ก็ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อย่างไรก็ดี โดยรวมเงินบาทยังคงแกว่งตัว sideways ใกล้โซน 36.70-36.80 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติ

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด นอกจากนี้ การประชุมเฟดล่าสุด ทางเฟดก็ไม่ได้ส่งสัญญาในเชิง hawkish ไปมาก อย่างที่ตลาดกังวล

 

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และควรจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ อาจมีเพียง รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ทว่าผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งโทนการสื่อสารโดยรวม อาจยังคงสงวนท่าทีต่อการสนับสนุนการลดดอกเบี้ย

แต่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ก็อาจยังไม่ได้สนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2024 รวมถึง รายงานผลสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อ (Senior Loan Officer Survey) ที่จะช่วยสะท้อนถึงภาวะสินเชื่อและช่วยในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้

▪ ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งเราคาดว่า BOE จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25% ทว่า ควรจับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มดอกเบี้ยในอนาคต เนื่องจากผู้เล่นในตลาดล่าสุด ประเมินว่า BOE อาจทยอยลดดอกเบี้ยได้ในช่วงไตรมาสที่ 3

ซึ่งหาก BOE ส่งสัญญาณชัดเจนว่า มีโอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน ก็อาจกดดันให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ผันผวนอ่อนค่าลง และช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงาน GDP อังกฤษ ในไตรมาสแรกของปีนี้ พร้อมกับรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ BOE เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้าของทั้งสองธนาคารกลาง

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) โดยตลาดมองว่า ทั้งสองธนาคารกลางอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบัน 4.35% และ 3.00% ตามลำดับ ซึ่งบรรดาธนาคารกลางส่วนใหญ่ ก็อาจรอเฟดเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยได้จริง

หรือมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ เพื่อลดความเสี่ยงและแรงกดดันต่อสกุลเงินของประเทศนั้นๆ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการส่งออก (Exports) และยอดการนำเข้า (Imports) เดือนเมษายน ของจีน ซึ่งหากออกมาสดใส ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์จีนมากขึ้น ซึ่งพอจะช่วยลดแรงกดดันต่อเงินหยวนจีน (CNY) ได้บ้าง

ฝั่งไทย – เราประเมินว่า โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติที่จะสูงราว 1.3 หมื่นล้านบาทในสัปดาห์นี้ อาจเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้ ทั้งนี้ ควรจับตารายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และระวังความผันผวนในตลาดการเงินไทย หากผู้เล่นในตลาดต่างกังวลปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทยกับธนาคารแห่งประเทศไทย

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมฝั่งอ่อนค่าได้แผ่วลง ทำให้เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ทว่าปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังมีอยู่ ทั้งโฟลว์จ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงแรงซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น

ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจเดินหน้าทยอยซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม ลดแรงกดดันต่อเงินบาท ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ เงินปอนด์อังกฤษและเงินหยวนจีน ที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินบาทได้ในช่วงนี้

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideways แต่เงินดอลลาร์ก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้น หาก BOE ส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด อาทิ ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน หรือในกรณีที่ บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็อาจย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย (ระวังการออกมาสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย)

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.40-37.10 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.65-36.85 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.76-36.78 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.20 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 36.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียมีแรงหนุนน้อยลง สอดคล้องกับเงินเยนที่กลับมาอ่อนค่าตามหลังสัญญาณการแทรกแซงตลาดของทางการญี่ปุ่นเบาบางลงในช่วงเช้าวันนี้ (แต่ตลาดยังคงติดตามท่าทีในระหว่างวันอย่างใกล้ชิด)

ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวกลับมาบางส่วน หลังเผชิญแรงขายในช่วงปลายสัปดาห์ต่อเนื่องถึงช่วงต้นสัปดาห์ รับตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด ประกอบกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดก็ยังคงย้ำถึงแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.65-36.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ท่าทีของทางการญี่ปุ่นต่อค่าเงินเยน ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางออสเตรเลีย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ประกอบด้วย ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนเม.ย. ของญี่ปุ่น และตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนมี.ค. ของยูโรโซน