นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษกับรายการ “เข้าเรื่อง” เผยแพร่ทางยูทูปช่องฐานเศรษฐกิจ เปิดเผยมุมมองเชิงลึกต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและไทย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
นายประกิตกล่าวว่า การลดดอกเบี้ยของเฟดครั้งนี้เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะยาว ขณะที่สกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเงินบาทไทย มีโอกาสแข็งค่าขึ้น
โดยในระยะสั้น 2-3 วันหลังการประกาศลดดอกเบี้ย เราอาจเห็นการแข็งค่าของดอลลาร์และการอ่อนค่าของเงินบาท แต่หลังจากนั้นทิศทางจะกลับตัว โดยดอลลาร์จะอ่อนค่าลง ขณะที่เงินบาทและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ จะแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่จะเกิดกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม นายประกิตเตือนว่า ในระยะยาวยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะในปีหน้าที่อาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก จากสถิติในอดีต เมื่อเฟดเริ่มลดดอกเบี้ยแรงๆ มักจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเวลาต่อมา จึงต้องระวังความเสี่ยงนี้ในปีหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยด้วย
นอกจากนี้ คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต เพื่อรักษาสมดุลกับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งนี้มองว่าปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ได้แก่ การลงทุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะจากงบประมาณปี 2568 ที่มีวงเงินลงทุนสูงถึง 800,000 ล้านบาท การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ และผลกระทบจากภาวะอุทกภัย ซึ่งอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อและการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของ ธปท.
ในส่วนของตลาดทุน นักวิเคราะห์มองว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) อาจปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,500 จุดได้ภายในสิ้นปีนี้ หากมีการลดดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ และมีกองทุน Thailand ESG Fund ที่จะช่วยสนับสนุนการลงทุนในหุ้นไทย รวมถึงการปิดสถานะขายชอร์ต (short covering) ที่อาจเกิดขึ้นในตลาด
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์สรุปว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงส์ในระยะสั้นจากการลดดอกเบี้ยของเฟด แต่ยังคงต้องเผชิญความท้าทายในระยะยาว โดยเฉพาะจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น