ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 4ธ.ค. "แข็งค่าเล็กน้อย" ที่ระดับ 34.36 บาทต่อดอลลาร์

04 ธ.ค. 2567 | 01:03 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ธ.ค. 2567 | 02:12 น.

ค่าเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.55 บาท/ดอลลาร์ ส่วนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ถูกชะลอลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 4ธ.ค.2567 ที่ระดับ  34.36 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.43 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai  Global Market ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่า เงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้นมากกว่าที่เราประเมินไว้ แต่เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด
เนื่องจากเงินดอลลาร์ก็ยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง ตราบใดที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาด หรือ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สดใส (ทำให้ธีม US Exceptionalism ยังคงอยู่) 

นอกจากนี้ ราคาทองคำก็ยังขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน ทำให้ราคาทองคำก็ดูจะยังคงอยู่ในภาวะปรับฐาน (Correction) ไปก่อน
อย่างไรก็ดี เงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้ส่งออก (ซึ่งเราประเมินว่า น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่าที่เราประเมินไว้)
รวมถึงการทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ

ตามที่เราประเมินไว้ โดยรวมเงินบาทก็อาจแกว่งตัว Sideways ไปก่อน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ และมีโซนแนวรับแถว 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านอาจอยู่ในช่วง 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์  

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนของเงินบาท ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ รวมถึงยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP
เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทสามารถแกว่งตัวเกือบ +/-0.2% ได้ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว 

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty
ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.55 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)เงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.55 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)


โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 34.32-34.48 บาทต่อดอลลาร์) ทั้งนี้ เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง
โดยเฉพาะในช่วงเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลงของราคาทองคำ หลังรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ของสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 7.744 ล้านตำแหน่ง ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ราว 7.5 ล้านตำแหน่ง
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงด้วยแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ของบรรดาผู้เล่นในตลาด และการรีบาวด์ขึ้นบ้างของบรรดาสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) ที่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุระดับ 1.05 ดอลลาร์ต่อยูโร ได้
หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศสอาจใกล้คลี่คลายลงได้ โดยนายกฯ Michel Barnier อาจพ่ายแพ้ในการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ (No-Confidence Vote) ที่ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างตามโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้ส่งออกในช่วงนี้
 

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่รีบเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นชัดเจน เพื่อรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงาน รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟด
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Meta +3.5%, Amazon +1.3%
ขณะที่ Tesla -1.6% จากรายงานยอดขายในจีนที่ยังคงลดลง ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.40% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.05%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.37% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ ASML +2.1%, Hermes +1.3% ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงมั่นใจว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องได้พอสมควร อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอติดตามสถานการณ์การเมืองของฝรั่งเศส

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร โดยมีทั้งจังหวะปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 4.20% ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องและทรงตัวแถวระดับ 4.23% หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุด (Job Openings) นั้นออกมาดีกว่าคาด
อีกทั้งถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้ ต่างก็ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม

ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงให้โอกาสราว 74% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้ เรามองว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ก็อาจเป็นจังหวะในการทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เนื่องจาก Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ของบอนด์ระยะยาวนั้นยังมีความน่าสนใจอยู่

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด
ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศสอาจใกล้คลี่คลายลงบ้าง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงถูกกดดันจากการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวแถวโซน 106.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.0-106.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงภาพรวมของตลาดการเงินที่เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ยังคงเป็นปัจจัยกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ และยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,660 ดอลลาร์

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) และยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนพฤศจิกายน
รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้ อนึ่ง ถ้อยแถลงของประธานเฟดและรายงาน Fed Beige Book จะทยอยรับรู้ในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ นี้

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลดัชนี Caixin PMI ภาคการบริการของจีน ในเดือนพฤศจิกายน เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังดัชนี Caixin PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่รายงานก่อนหน้านั้น ออกมาดีกว่าคาด

และในฝั่งไทย เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของไทยในเดือนพฤศจิกายน อาจปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 1.08% (แทบไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบจากเดือนก่อนหน้า)
ตามอานิสงส์ของฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะในส่วนของราคาน้ำมัน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจทรงตัวแถวระดับ 0.7%-0.8%

นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา สถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส โดยหากความวุ่นวายเริ่มคลี่คลายลงบ้าง ก็อาจช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินยูโร (EUR) ในระยะสั้นนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.34-34.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.53 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย (แม้ในภาพรวมยังเป็นการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ) ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังไม่ได้รับแรงหนุนมากนักจากรายงาน JOLTS ที่สะท้อนว่า มีการเปิดรับสมัครงานเพิ่มขึ้นในเดือนต.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดยังอยู่ระหว่างรอติดตามสัญญาณของมาตรการกีดกันทางการค้า และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์

โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยสำหรับการประชุมเฟดเดือนธ.ค. นี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.25-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนพ.ย. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชีย

และราคาทองคำในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของเฟด