จากประเด็นที่ประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล แห่งเกาหลีใต้ สร้างความช็อกให้กับประชาชนด้วยการประกาศกฎอัยการศึกกลางดึกผ่านโทรทัศน์เมื่อคืนวันอังคาร แต่ต้องถอนคำสั่งเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หลังเผชิญแรงต้านจากทั้งรัฐสภาและประชาชน ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลใจว่าการเกิดวิกฤตครั้งนี้
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน เศรษฐกิจ และสถานะทางการทูตของเกาหลีใต้ อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นทางกระทรวงการคลังเกาหลีใต้ประกาศพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องไม่จำกัดเข้าสู่ตลาดการเงิน
โดยเตรียมใช้กองทุนรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้นมูลค่า 10 ล้านล้านวอน (ราว 7.07 พันล้านดอลลาร์) หลังเกิดความปั่นป่วนจากการที่ประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ประกาศใช้และยกเลิกกฎอัยการศึกในเวลาไล่เลี่ยกัน
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ได้ให้มุมมองว่า มองว่าประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล แห่งเกาหลีใต้นั้น เกิดขึ้นเร็ว และปิดจบเร็วด้วยเช่นเดียวกัน สถานการณ์ไม่ได้มีความยืดเยื้อ
แต่แน่นอนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจกระทบไปถึงความเชื่อมั่นของประเทศเกาหลีที่อาจไม่ดีนักในสายตาของต่างชาติ ถามว่าแล้วจะส่งผลกระทบต่อโมเมนตันการลงทุนของตลาดหุ้นในเอเชียและประเทศไทยด้วยหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าก็อาจมีบ้างในเชิงของจิตวิทยา แต่ก็เป็นอาการแพนิคเพียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่นาน
เพราะตามความเป็นจริงแล้วในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยและเกาหลีก็ไม่ได้มีมากนัก ทั้งในเรื่องการค้าและการส่งออก ส่วนในวันนี้ที่ตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวในแดนลบ หลักๆ เป็นผลจากรอปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนมากกว่า โดยประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (2-6 ธ.ค.67) ไว้ที่แนวรับ 1,430 จุด และแนวต้านที่ 1,460 จุด
สำหรับแนวโน้มการกลับมาของกระแสเงินทุนต่างชาตินั้น มองว่าภาพรวมทั้งปี 67 ฟันด์โฟลว์ยังคงเป็นภาพของการติดลบระดับ 3.8-4 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.37 แสนล้านบาท ในขณะที่ปี 68 เชื่อว่าจากการที่ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว การดำเนินนโยบายต่างๆ จะส่งผลให้ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าต่อ
และด้วยนโยบายการปรบลดภาษีนิติบุคคลของทรัมป์ ส่งผลให้ความต่าสนใจของการลงทุนยังคงอยู่ที่ตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก อาจมีไหลกลับเข้ามาเป็นรอบๆ และภาพรวมยังคงมีแนวโน้มติดลบอยู่ เพียงแต่จะลบมากน้อยแค่ไหน และต้องรอดูว่าปัจจัยการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะทำได้จริงหรือไม่ เศรษฐกิจดีขึ้น GDP โตในกรอบบนก็มีโอกาสที่ทุนต่างชาติจะกลับมา