จากที่คณะกรรมการค่าจ้างมีมติปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ และเตรียมนำเสนอขออนุมัติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยจะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 นั้น ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม เนื่องจากราคาสินค้าที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2565 ส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชน ทำให้แนวโน้มการบริโภคชะลอตัวลง
จึงเกิดเป็นข้อสงสัยว่า “การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ จะเป็นแรงส่งการบริโภคเอกชนให้ไปต่อได้ หรือจะดันเงินเฟ้อให้เพิ่มขึ้น” ซึ่งจะไล่เรียงการวิเคราะห์จากสถานการณ์แนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนและทิศทางเงินเฟ้อว่าได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้อย่างไร
การบริโภคภาคเอกชนจะเห็นว่าเริ่มฟื้นตัวหลังจากผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาในประเทศได้ โดยจะพบว่า ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index: PCI) ตั้งแต่ต้นปี 2565 ไต่ขึ้นมาอยู่เหนือเส้นแนวโน้มการบริโภคเอกชน 8 ปี (ตั้งแต่ปี 2558 จนถึง 2565) หลังจากปี 2564 ได้รับผลกระทบจากการบริโภคชะลอตัวในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างหนัก
โดย 6 เดือนแรกปี 2565 ดัชนีบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 7.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับปี 2564 ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มแรงส่งการบริโภคภาคเอกชนไทยที่เริ่มทยอยฟื้นกลับมาในปี 2565 นี้
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนับเป็นแรงกดดันให้แนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัวช้าลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2565 โดยจะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumption Price Index: CPI) ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากไตรมาส 4 ปี 2564 สาเหตุจากต้นทุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาสินค้าเกษตร และสินค้าวัตถุดิบ
ในช่วง 7 เดือนแรกปี 2565 ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับปี 2564 เฉลี่ยกว่า 5.9% ชี้ให้เห็นถึงค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะไปลดทอนอำนาจซื้อของประชาชนให้ลดลง ทำให้การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงในไตรมาสสุดท้ายปี 2565 ได้
ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐจึงพิจารณาปรับเพิ่มค่าแรงขึ้นต่ำ เพื่อพยุงอำนาจซื้อของประชาชนไว้ไม่ให้ชะลอตัวในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งกลไกลการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาขายของสินค้าดังกล่าว สามารถอ่านได้ในบทความเรื่อง “การสร้างความสมดุล สู่การส่งผ่านเงินเฟ้อ” โดยภาครัฐได้พิจารณาปรับค่าแรงขั้นต่ำในรอบ 2 ปีกว่า เป็น 3-7% จากเดิมค่าจ้างอยู่ในช่วง 313-336 บาท เป็น 328-354 บาทตามแต่ละพื้นที่ โดยจะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2565
คาดว่าระดับการปรับเพิ่มของค่าแรงขั้นต่ำ 3-7% นี้ จะช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนได้บ้างในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งจะทำให้สามารถพยุงการบริโภคเอกชนได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยคาดว่าเงินเฟ้อด้านต้นทุนแรงงานจะยังไม่ส่งผ่านไปยังราคาสินค้า อันมีสาเหตุจาก
ด้วยสองสาเหตุนี้ จะสามารถพยุงการบริโภคภาคเอกชนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงและไม่ลดระดับลงมา มีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการจะพิจารณาปรับเพิ่มราคาสินค้าขายเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดเงินเฟ้อที่มาจากต้นทุนค่าจ้างแรงงาน ซึ่งจะเป็นอุปสรรคทำให้การบริโภคภาคเอกชนแผ่วลงในช่วงต้นปี 2566 เป็นประเด็นที่ภาครัฐควรติดตามและเตรียมมาตรการไว้รับมือกับผลของเงินเฟ้อที่มาจากต้นทุนค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น เพื่อพยุงและฟื้นฟูเศรษฐกิจในปี 2566 ต่อไป.