ก้าวเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ภาพรวมของการลงทุนในปีนี้ เต็มไปด้วยความท้าทาย เริ่มต้นจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อ ปัญหาทางเศรษฐกิจจากสภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น แรงกดดันจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ค่อนข้างตึงตัว รวมถึงประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนและต้องจับตามอง
ทั้งนี้ หนึ่งกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทุกท่านมีความมั่นคงทางการเงินก็คือ “วินัยในการออม” “การวางแผนทางการเงิน” และ “การจัดสรรสภาพคล่อง” ให้เพียงพอต่อรายรับและรายจ่ายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การออมเพื่อวัยเกษียณ ที่เริ่มต้นเร็วหรือทยอยสะสมตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้การออมนั้นยิ่งมีความได้เปรียบ”
หากพิจารณาแล้ว..จะพบว่าตลาดการเงินของไทยมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์
สำหรับวัตถุประสงค์ดังกล่าวมาอย่างมากมาย และหลากหลายประเภทสินทรัพย์ ทั้งกองทุนประเภท RMF และ SSF โดยกองทุนทั้งสองประเภทเป็นกองทุนที่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้
“สำหรับกองทุน SSF ถือเป็นกองทุนน้องใหม่ที่เข้ามาแทนที่กองทุนประเภท LTF และมีเงื่อนไขในการลงทุนที่ค่อนข้างยืดหยุ่น ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ และไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 200,000 บาท โดยเมื่อรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ สูงสุดไม่เกิน 500,000บาท แต่จำเป็นต้องถือครองการลงทุนนั้นไม่ต่ำกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อแบบวันชนวัน ซึ่งผู้ลงทุนจะได้สิทธิ์เพื่อใช้ในการลดหย่อนภาษีปีต่อปี เริ่มตั้งแต่ปี 2563 - ปี 2567”
มาถึงตรงนี้ หลายท่านคงมีคำถามว่า “การลงทุนในต่างประเทศ มีประเทศใดที่มีความน่าสนใจ” สำหรับในช่วงเวลานี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่า 3 ประเทศหลักที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีปัจจัยสนับสนุนเพื่อการลงทุนในระยะยาวที่ดี ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และเวียดนาม
บลจ.ไทยพาณิชย์ มีผลิตภัณฑ์กองทุนลดหย่อนภาษีที่หลากหลายให้เลือกสรร ปัจจุบันมีกองทุน SSF และ RMF กว่า 65 กองทุน โดยจากมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนไปยังประเทศสหรัฐฯ จีน และเวียดนามที่กล่าวไปข้างต้น สำหรับกองทุนลดหย่อนภาษี SSF ที่แนะนำคือ SCBS&P500-SSF, SCBNDQ(SSF), SCBASHARES(SSF) และ SCBVIET(SSF)
นอกเหนือจากกองทุนที่แนะนำ บลจ.ไทยพาณิชย์ ยังมีกองทุน SSF และ RMF ที่ครอบคลุมในสินทรัพย์หลายประเภท เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนที่สนใจ