นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีและลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ รวมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการปฏิรูปรายได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาด และการออมเพื่อเกษียณอายุ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนที่ 4 ถัดจากเดือนที่พระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา (Grace Period ประมาณ 90 วัน)
“เดิมในปี 2525 กฎหมายมีอยู่แล้ว โดยเป็นเรื่องภาษี Capital Gain ในปี 2521 แต่ก็มีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีมาอย่างต่อเนื่อง จนปรับมาเป็นภาษีการค้า และในปี 2525 ก็มีการยกเว้นภาษีการค้า สำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อส่งเสริมตลาดของเราให้มีการเติบโต และเมื่อปี 2535 ก็มีการเปลี่ยนแปลงจากภาษีการค้า เป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ ก็มีการยกเว้นให้เช่นเดียวกัน ซึ่งอัตราภาษีที่กำหนดไว้ 0.10% มีการยกเว้นมานานกว่า 40 ปี รวมกับการนับย้อนหลังภาษีการค้า”
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การที่รัฐบาลเข้ามาดำเนินการจัดเก็บภาษีดังกล่าวในช่วงเวลานี้ ถือว่า เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว เหตุผลสำคัญ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบ เนื่องจาก ภาษีดังกล่าวได้รับการยกเว้นมากว่า 30 ปี ซึ่งเหตุผลที่ต้องการยกเว้น เพื่อให้ตลาดหุ้นมีการพัฒนา
แต่ขณะนี้ ตลาดหุ้นมีการพัฒนาอย่างมาก มูลค่าการซื้อขายเพิ่มกว่า 22 เท่า อยู่ที่กว่า 20 ล้านล้านบาท จากในช่วงปี 2534 ที่อยู่ประมาณ 9 แสนล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น ในช่วงนี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม
“มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นวันนี้ มีขนาดที่โตกว่าจีดีพีของประเทศแล้ว เราจึงมั่นใจว่า การเก็บภาษีในช่วงนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะตลาดมีความเข้มแข็ง ดังนั้น ภาษีตัวนี้ จึงควรนำมาใช้ให้เป็นสากล”
กรณีที่มีประเด็นนำไปเปรียบเทียบว่าสิงคโปร์ไม่เก็บภาษี ซึ่งจะส่งผลให้ไทยพลาดการเป็นศูนย์กลางในการลงทุนหรือไม่นั้น ต้องเรียนว่า การเก็บภาษีขายหุ้นไม่ได้เป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะเป็นศูนย์กลางการเงิน เนื่องจากประเทศที่เป็นศูนย์กลางการลงทุน ได้แก่ ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และอังกฤษ ล้วนมีการเก็บภาษีจากการขายหุ้น และมีทั้งต้นทุนการซื้อขายหุ้นที่สูงกว่าและใกล้เคียงกับไทย ซึ่งฮ่องกงจัดเก็บภาษีที่ 0.13% เกาหลีใต้ 0.23% ไต้หวัน 0.30% ขณะที่อังกฤษจัดเก็บที่ 0.50% และจัดเก็บจากCapital gain ด้วย
“ฮ่องกง อังกฤษ เกาหลีใต้ และไต้หวันก็มีการเก็บภาษีการขายหุ้น แต่ตลาดหลักทรัพย์ของเศรษฐกิจเหล่านี้ยังเป็นตลาดหลักของโลก โดยมีมาร์เก็ตแคปอยู่ใน 20 อันดับแรกของโลก ดังนั้น การเก็บภาษีไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดว่า ประเทศใดจะได้เป็นศูนย์กลางการเงิน”
นอกจากนี้ เมื่อเทียบต้นทุนการทำธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ก็จะพบว่า การเก็บภาษีการขายหุ้นในปีแรกเพียงครึ่งหนึ่ง และเก็บเต็มจำนวนในปีต่อๆไป ไม่ได้ทำให้ต้นทุนโดยรวมสูงกว่าประเทศอื่น เช่น ฮ่องกง และ มาเลเซีย
ทั้งนี้ ในปีแรกหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ ไทยจะเก็บภาษีขายหุ้นในอัตรา 0.055% เมื่อรวมภาษีท้องถิ่นแล้ว และ จะจัดเก็บในอัตรา 0.11% เมื่อรวมภาษีท้องถิ่นแล้วในปีถัดไป โดยภาระต้นทุนจะอยู่ที่ 0.195% ในปีแรก และ ปีถัดไปจะอยู่ที่ 0.22% ต่ำกว่าฮ่องกงที่อยู่ 0.38% มาเลเซียอยู่ที่ 0.29% และใกล้เคียงกับสิงคโปร์อยู่ที่ 0.19%
ส่วนกรณีที่ได้มีการนำเสนอว่า จะมีการยกเว้นภาษีให้นักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน ข้อเท็จจริง คือ ไม่ได้ยกเว้นภาษีให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ แต่ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) กับกองทุนบำนาญ โดย Market Maker คือ บริษัทหลักทรัพย์ (Broker) ที่ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหน้าที่ทำการเสนอซื้อขายหลักทรัพย์ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ Market Maker ไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่ตามที่ข่าวได้นำเสนอ ซึ่งการยกเว้นดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกับต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ ฮ่องกง ฝรั่งเศส และอิตาลี สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ว่าบุคคลธรรมดา นักลงทุนสถาบันที่ไม่ใช่กองทุนบำนาญ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เอง (ไม่ใช่บัญชี Market Maker) จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การเก็บภาษีหุ้นนั้น มี 2 แนวทาง คือ เก็บจากกำไรจากการซื้อขายหุ้น และ เก็บจากการขายหุ้น ซึ่งในบางประเทศก็เก็บแนวทางใดแนวทางหนึ่ง หรือทั้งสองแนวทาง แต่เราเลือกที่จะจัดเก็บแนวทางเดียว คือ เก็บจากการขายหุ้น ซึ่งสะดวกต่อการจัดเก็บ และ มีการจัดเก็บที่ต่ำกว่าแนวทางการเก็บภาษีจากกำไร โดยเราประเมินว่า จะมีรายได้ต่อปีประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
“การเก็บภาษีแนวทางนี้ จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มนักลงทุนไม่มากและมีอัตราการเสียภาษีต่ำ โดยใน 5 ล้านบัญชี มีบัญชีที่Activeประมาณ 1 ล้านบัญชี ในจำนวนนี้ มี 11% หรือประมาณ 1 แสนคน ที่เข้ามาเทรดหุ้นจำนวน 95% ของมูลค่าการซื้อขาย ส่วนที่เหลือเป็นรายย่อย ดังนั้น จึงกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยไม่มาก”