นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวในงานสัมนา GO THAILAND : RECESSION OR RESURRECTION ในหัวข้อ GLOBAL FUND FLOW 20230 ว่า สินทรัพย์การลงทุนปี 2565 ปีนี้เป็นปีที่ติดลบทั้งตราสารหนี้และหุ้น ซึ่ง 20 ปีจะมี 1 ครั้ง โดยตราสารหนี้และหุ้นปรับตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจากปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ โดยตลาดหุ้นโลกให้ผลตอบแทน -21.2% นับว่าแย่ที่สุดตั้งแต่ปี 2551 ที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม ขณะที่ตราสารหนี้โลกให้ผบตอบแทน -20.4% นับว่าแย่ที่สุดในรอบ 30 ปีนับตั้งแต่ปี 2534
ขณะที่เดียว อัตราผลตอบแทนจากการถือครองพันธบัตรพันธบัตร (Bond Yeild) ยังปรับเพิ่มขึ้น โดยไปสูงสุดที่ระดับ 4.25% ยังเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นด้วย แต่การที่ Bond Yeild สูงจะสามารถทำกำไรได้ 2 ต่อคือ จะได้คูปองสูงและราคาที่แพงขึ้นด้วย แต่ต้องเป็น การลงทุนในกองทุนที่มีการป้อง กันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ในอดีตจะพบว่า หลังจากปีที่ตลาดแย่ มักจะตามมาด้วยตลาดที่ฟื้นตัวดีมากในปีถัดมา อย่างปี 2551 และปี 2561 ซึ่งปีนี้ก็แย่หมด ที่ยังสามารถบวกได้มีสินค้าโภคภัณฑ์จากราคานํ้ามันที่ปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี แต่ขณะนี้ราคาเริ่มย่อตัวลงแล้ว
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจโลกปี 2566 คาดว่า มีแนวโน้มช้ากว่าที่คาดไว้และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยสูงขึ้น โดยจากผลสำรวจของ Bloomberg คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปมีโอกาสเห็นจีดีพีติดลบในไตรมาสแรก ส่วนจีนและญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะมีเสถียรภาพมากกว่า ขณะที่เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 3% และ 3.6% ในปีหน้า โดยแรงขับเคลื่อนจะมาจากการท่องเที่ยว การลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภายในประเทศ
ส่วนอัตราเงินเฟ้อไทย คาดว่าจะปรับลดลงเหลือ 2.5% ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1.75% ภาย ในไตรมาสแรกปีหน้า จากนั้นเงินเฟ้อจะลงมาอยู่ในกรอบ 1-3% ได้ ซึ่งจะทำให้กนง.ไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยแรง ส่วนเงินเฟ้อต่างประเทศน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว จากการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ
ทั้งนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายด้วยอัตราเร่งสูงสุดในรอบ 40 ปี ซึ่งในอดีตเฟดจะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ดังนัั้นทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะจบลงเมื่อสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้สำเร็จ โดยคาดว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปสูงสุดที่ระดับ 5.5% ประมาณไตรมาส 2 ปีหน้า
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ประกาศออกมาล่าสุดเดือนพ.ย. ขยายตัวเพียง 7.3% ตํ่ากว่าที่ตลาดคาดมาก สะท้อนการปรับตัวลงชัดเจน ซึ่งหากมองย้อนกลับไป 8 ครั้งของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะเห็นว่า เฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย เมื่อเงินเฟ้อตํ่ากว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดว่า เงินเฟ้อจะลงมาตํ่า 5% ช่วงกลางปีหน้าเช่นกัน หลังจากนั้นหุ้นจะฟื้นตัวกลับมาได้
“ทิศทางตลาดหุ้นโลกเมื่อเฟดทำงานเรียบร้อย ตามสถิติจะเห็นว่า อีก 4 เดือนหลังจากนั้น หุ้นจะเป็นขาขึ้น ซึ่งหากเฟดทำงานจบในไตรมาส 2 ก็รอไตรมาส 4 หุ้นจะกลับมาเป็นตลาดกระทิงหรืออาจจะเกิดขึ้นก่อนก็ได้” นายวินกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้ หุ้นโลกจะปรับลดลง 20% แต่ในภาวะตลาดหมีก็มีจังหวะเด้งหลายรอบ ซึ่งแต่ละครั้งจะได้ผลตอบ แทนประมาณ 4% ดังนั้นเมื่อหุ้นลงลึก สามารถใส่เข้าไป 1-2 ไม่ได้ หากหุ้นเด้งขึ้นมาก็สามารถทำกำไร 4% ต่อรอบ ซึ่งปีนี้ก็ขึ้นมา 3-4 รอบ ดั้งนั้นแม้ตลาดหมีก็ไม่แย่ มีโอกาสเด้ง แต่ต้องไม่ใส่เข้า ไปเยอะ อย่าทุ่มสุดตัว เป็นการเล่นตลาดหุ้นฟื้นช่วงสั้นๆ
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปีหน้าคาดว่า จะฟื้นตัว โดยดัชนีหุ้นสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 1800 จุด จากที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว แม้ว่าจะฟื้นตัวช้า แต่ก็ฟื้นตัวขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปแย่ลง โดยคาดว่า จะเห็นเศรษฐกิจทั้ง 2 ติดลบในไตรมาสแรกปีหน้า ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง จึงจะ เกิดการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนมาฝั่งเอเชีย ซึ่งจีนจะได้ประโยชน์รวมถึงไทยด้วย รวมถึงการท่องเที่ยวจะกลับมาก็จะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจด้วย
ส่วนตราสารหนี้ไทยคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดที่ระดับ 1.75% ในปีหน้าและเงิน เฟ้อจะกลับเข้ามาอยู่ในกรอบ 1-3% ได้ ซึ่งการลงทุนใน 6 เดือนถึง 1 ปียังให้ผลตอบแทน 1-2% ซึ่งยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก สามารถพักเงินได้
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,845 วันที่ 18 - 21 ธันวาคม พ.ศ. 2565