ธนาคารกรุงศรีชี้ หุ้นโลกเข้าภาวะกระทิงไตรมาส 4 ปี 66

14 ธ.ค. 2565 | 10:26 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ธ.ค. 2565 | 19:57 น.

ธนาคารกรุงศรี มองดอกเบี้ยเฟดสูงสุด 5.5% ไตรมาส 2 ปีหน้า กดเงินเฟ้อเหลือ 5% ส่งผลหุ้นโลกเข้าภาวะกระทิงอีก 4 เดือนหลังจากนั้น มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้น แม้สหรัฐ-ยุโรปติดลบไตรมาสแรกปีหน้า

นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)หรือ BAY กล่าวในงานสัมนา GO THAILAND  : RECESSION OR RESURRECTION ในหัวข้อ GLOBAL FUND FLOW 20230 ว่า ทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะจบลงเมื่อสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้สำเร็จ โดยคาดว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปสูงสุดที่ระดับ 5.5% ประมาณไตรมาส 2  ปีหน้า

นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ประกาศออกมาล่าสุดเดือนพ.ย.ขยายตัวเพียง 7.3% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดมาก สะท้อนการปรับตัวลงชัดเจน ซึ่งหากมองย้อนกลับไป  8 ครั้งของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะเห็นว่า เฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย เมื่อเงินเฟ้อต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดว่า เงินเฟ้อจะลงมาต่ำ 5% ช่วงกลางปีหน้าเช่นกัน หลังจากนั้นหุ้นจะฟื้นตัวกลับมาได้   

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นโลก เมื่อเฟดทำงานเรียบร้อย ต้องรออีกกี่เดือนหุ้นจะเป็นภาวะกระทิง ซึ่งตามสถิติจะเห็นว่า อีก 4 เดือนหลังจากนั้น หุ้นจะเป็นขาขึ้น ซึ่งหากเฟดทำงานจบในไตรมาส 2  ก็รอไตรมาส 4  หุ้นจะกลับมาเป็นตลาดกระทิงหรืออาจจะเกิดขึ้นก่อนก็ได้

ธนาคารกรุงศรีชี้ หุ้นโลกเข้าภาวะกระทิงไตรมาส 4  ปี 66

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้หุ้นโลกจะปรับลดลง 20% แต่ในภาวะตลาดหมี ก็มีจังหวะเด้งหลายรอบ ซึ่งแต่ละครั้งจะได้ผลตอบแทนประมาณ 4% ดังนั้นเมื่อหุ้นลงลึก สามารถใส่เข้าไป 1-2 ไม้ได้ หากหุ้นเด้งขึ้นมาก็สามารถทำกำไร 4% ต่อรอบ ซึ่งปีนี้ก็ขึ้นมา  3-4 รอบ ดั้งนั้นแม้ตลาดหมีก็ไม่แย่ มีโอกาสเด้ง แต่ต้องไม่ใส่เข้าไปเยอะ อย่าทุ่มสุดตัว เป็นการเล่นตลาดหุ้นฟื้นช่วงสั้นๆ

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปีหน้าคาดว่า  จะฟื้นตัว โดยดัชนีหุ้นสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 1800 จุด จากที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว  แม้ว่าจะฟื้นตัวช้า แต่ก็ฟื้นตัว ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปแย่ลง โดยคาดว่า จะเห็นเศรษฐกิจทั้ง 2 ติดลบในไตรมาสแรกปีหน้า ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง จึงจะเกิดการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนมาฝั่งเอเชีย ซึ่งจีนจะได้ประโยชน์รวมถึงไทยด้วย  รวมถึงการท่องเที่ยวจะกลับมาก็จะเป็นปัจจัยหชนุนเศรษฐกิจด้วย

 

ขณะที่การลงที่การลงทุนในตราสารหนี้โลก การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร(Bond Yeild) ปรับเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 8% นั้นจะสามารภทำกำไรได้  2 ต่อคือจะได้คูปองสูงและราคาที่แพงขึ้นด้วย แต่ต้องเป็นการลงทุนในกองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย

 

ส่วนตราสารหนี้ไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดที่ระดับ 1.75% ในปีหน้าและเงินเฟ้อจะกลับเข้ามาอยู่ในกรอบ 1-3% ได้ ซึ่งการลงทุนใน  6 เดือนถึง 1 ปียังให้ผลตอบแทน 1-2% ซึ่งยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก สามารถพักเงินได้    

นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)

 

สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปีหน้า มีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ การลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยว แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงคือ จีนเปิดประเทศช้ากว่าที่คาด และที่สำคัญมากคือ ระดับหนี้ครัวเรือนไทยที่สูงที่จะฉุดกำลังซื้อในประเทศ และการเมืองในประเทศ หากการเลื้อกตั้งผ่านไปด้วยดี ก็ตะสามารถจัดทำงบประมาณได้ตามเวลา แต่หากไม่ทันปีงบประมาณ จะกระทบต่อการใช้เงินงบประมาณได้