กรณีกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ตร.ทล.) สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตประจวบคีรีขันธ์ จับกุม นายสมบัติ อายุ 47 ปี ในความผิดฐาน ‘มีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษี’ หรือ ‘น้ำมันเถื่อน’ ได้ที่บริเวณริมถนนเพชรเกษม ทล.4 กม.308 ขาเข้า ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีรถบรรทุกน้ำมันดีเซล 40,000 ลิตรเป็นของกลางในคดี และมีการรายงานว่าภายหลังการจับกุมนายสมบัติ ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพสามิตรายหนึ่ง โทรศัพท์ มาขอเจรจาไม่ให้ดำเนินคดีกับนายสมบัติ แต่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไม่ยินยอมปฏิเสธกลับไปเมื่อวันที่6 มิ.ย. ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวถึงความคืบหน้าว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง พบว่า ผู้อำนวยการส่วนฯ สำนักตรวจสอบป้องกันและปราบปราม เป็นผู้โทรศัพท์ไปยังเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ประจวบคีรีขันธ์จริงตามข้อกล่าวหา ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดวินัย อย่างร้ายแรง และพิจารณาว่าหากเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวยังปฏิบัติในหน้าที่ราชการต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่ราชการได้ กรมสรรพสามิตจึงมีคำสั่งให้พักราชการ ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตได้บูรณาการความร่วมมือกับกองบังคับการตำรวจทางหลวงเพื่อขอความอนุเคราะห์ข้อมูลพยานหลักฐาน และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวทั้งหมด และที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตทุกระดับโดยเฉพาะหลักฐานที่ระบุถึงเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตที่มีการโทรศัพท์มา ขอเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อไม่ให้ดำเนินคดีกับนายสมบัติผู้ขับรถขนน้ำมันเถื่อน เนื่องจากจะเป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถนำไปขยายผลเพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งขบวนการตามระเบียบราชการให้ถึงที่สุด โดยไม่มีข้อยกเว้นแต่อย่างใด
"จากการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกรมสรรพสามิตและกองบังคับการตำรวจทางหลวงโดยสถานีตำรวจทางหลวง 3 กองกำกับการ 2 เพื่อตรวจพิสูจน์ผลทางวิทยาศาสตร์ของตัวอย่างน้ำมันของกลาง ผลการทดสอบพบว่าน้ำมันดังกล่าวจัดเป็นน้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่นๆ ที่คล้ายกันตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีหลักฐานการเสียภาษีสรรพสามิตถูกต้องตามกฎหมาย"
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจึงได้ทำการแจ้งให้ผู้ต้องหาซึ่งเป็นเจ้าของรถบรรทุกน้ำมันดังกล่าวทราบรายงานผลการทดสอบ และได้พาผู้ต้องหาไปยังสำนักสรรพสามิตพื้นที่ประจวบคีรีขันธ์ โดยผู้ต้องหาให้การ รับว่าน้ำมันจำนวนดังกล่าวข้างต้นเป็นน้ำมันที่ไม่ได้มีการเสียภาษีจริง และประสงค์จะขอเปรียบเทียบคดี และเจ้าพนักงานสรรพสามิตได้ทำการเปรียบเทียบปรับและรับชำระภาษีครบถ้วนแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ต้องหาจะมีการเสียค่าปรับครบถ้วนแล้ว กรมสรรพสามิตยังได้มีการขยายผล เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายและทำให้ประเทศชาติเสียหาย โดยกรมสรรพสามิตได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อลงพื้นที่สอบสวนเกี่ยวกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน อย่างรอบด้าน เพื่อเอาผิดต่อผู้กระทำผิดทั้งขบวนการต่อไป
สำหรับสถิติการจับกุมคดีน้ำมันเถื่อนของกรมสรรพสามิตในปีนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างชัดเจน โดยล่าสุดช่วง 8 เดือนของปีงบ 66 ตั้งแต่เดือน ต.ค.65-พ.ค.66 สามารถจับกุมได้ 986 คดีคิดเป็นเงินค่าปรับ 37.7 ล้านบาท มีน้ำมันของกลางปริมาณ 4.13 ล้านลิตร แบ่งเป็น
โดยสถิติเพิ่มจากปี 65 ที่มีสถิติการจับกลุ่มคดีน้ำมันเถื่อนทั้งปีอยู่ที่ 814 คดี คิดเป็นค่าปรับ 30.67 ล้านบาทปริมาณของกลางรวม 1.63 ล้านลิตร