นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ไว้ที่ 6.975% ต่อปี ต่อไป เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรลูกค้า และสนับสนุนการฟื้นตัวจากผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและโรคระบาดที่เกิดขึ้น
โดย ธ.ก.ส. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉพาะอัตราดอกเบี้ยลูกค้าสถาบัน และนิติบุคคลชั้นดี (MLR) 0.250% ต่อปี จาก 5.625% เป็น 5.875% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) 0.250% ต่อปี จาก 6.875% เป็น 7.125% ต่อปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 2.00% ต่อปี มาอยู่ที่ 2.25% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2566 เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของตลาด ธ.ก.ส. จึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 0.10-0.40% ต่อปี เพื่อส่งเสริมการออมและเพิ่มผลตอบแทนให้สอดคล้องกับอัตรา ผลตอบแทนของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ประกอบด้วย
สำหรับลูกค้านิติบุคคล ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีบัญชีเงินฝากประจำ 24 เดือน 36 เดือน 48 เดือน และ 60 เดือน อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น 0.15% ต่อปี และบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน และ 12 เดือน ปรับขึ้น 0.10% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. ยังคงให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวและสร้างความเข้มแข็งให้กับลูกค้า โดยสนับสนุนเงินทุนผ่านสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องและการลงทุน เช่น สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย อัตราดอกเบี้ย 0.01% สินเชื่อ SME เสริมแกร่ง และสินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ อัตราดอกเบี้ย 4% เป็นต้น พร้อมดูแลภาระหนี้สินเกษตรกรลูกค้า ทั้งหนี้ในและนอกระบบผ่านโครงการมีหนี้ นอกระบบ ธ.ก.ส. ควบคู่กับการให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการหนี้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ลูกค้ายืนได้อย่างมั่นคงและก้าวข้ามกับดักหนี้ได้อย่างยั่งยืน