การประชุมคณะกรรมการ นโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุด แม้จะคงดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% แต่ยังคงส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อสู่ระดับ 5.6%ภายในสิ้นปี 2566 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี และส่งสัญญาณจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง โดยสิ้นปี 2567 สู่ระดับ 5.1% สิ้นปี 2568 สู่ระดับ 3.9%และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะอยู่ที่ระดับ 2.5%
ส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดจะประชุมอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี ในวันที่ 27 กันยายน และวันที่ 29 พฤศจิกายน หลังจากเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 จากระดับ 0.50% ล่าสุดอยู่ทีที่ระดับ 2.25%
ขณะที่เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) และตลาดหุ้นไทย โดยวันที่ 1-20 กันยายน 2566 นักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิในตลาดบอนด์ 18,898 ล้านบาทและขายสุทธิหุ้นไทย 18,280 ล้านบาท เมื่อรวมช่วง 8 เดือนเศษของปีนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันพบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยถึง 153,478 ล้านบาทและตลาดบอนด์ 133,525 ล้านบาท
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัยและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดผิดหวังที่เฟดส่งสัญญาณดอกเบี้ยสูงและลากยาว จากที่คาดว่าปีหน้าเฟดจะลดดอกเบี้ยได้เร็ว ทำให้ตลาดกังวลต่อผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นโดยอายุ 10 ปีเหนือ 4.4% แล้ว ยิ่งทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมีการเทขายออกมาทำให้ดอลลาร์แข็งค่า
ขณะที่ปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ยังมีเรื่องความเสี่ยงเรื่องงบประมาณสหรัฐที่จะไม่สามารถเจรจาได้ ทำให้คนมีความเป็นห่วงเรื่องสภาพคล่องในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตามตลาดทุนกังวลอยู่ 7 เรื่องคือ
สอดคล้องกับนางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยกล่าวว่า เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะสั้น โดยอาจจะอ่อนค่าไปทดสอบแนว 36.40 บาทต่อดอลลาร์จาก 3 ปัจจัยที่จะกดดันด้านอ่อนค่าคือ
ขณะเดียวกัน ปัจจัยในประเทศไทยยังมีปัจจัยกดดันเข้ามาตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม ทั้งจากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ที่อ่อนแอ ความเป็นห่วงต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยบวกปัจจัยต่างประเทศที่มีมาเรื่อยๆ ดังนั้น ความกังงวลต่อปัจจัยในประเทศมากขึ้น จึงกดดันต่อเงินทุนไหลออกในเดือนกันยายนนี้ต่อเนื่อง
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า ทิศทางเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่า โดยมีแรงกดดันหลายสาเหตุ แต่หลักๆ มาจากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายภาครัฐ ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่เข้ามา ประกอบกับดอลลาร์แข็งค่าและเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงทำให้ตลาดปิดรับความเสี่ยง ไม่ลงทุนในเงินบาทหรือสินทรัพย์เสี่ยง
“ช่วงบาทผันผวน ธปท.จะเข้าดูแลอยู่แล้ว ส่วนทิศทางดอกเบี้ยนโยบายไทย ควรปรับขึ้นไปก่อน ส่วนหนึ่งเพื่อดูแลค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นอยู่ เพราะแนวโน้มสถานการณ์ต่างๆ มากระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า อย่างน้อยเรายังมีขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายหรือ Policy Space” ดร.จิติพล กล่าว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,925 วันที่ 24 - 27 กันยายน พ.ศ. 2566