ศูนย์วิจัยกรุงศรี เปิดเผยถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงไว้ที่ 2.50% ตลอดทั้งปี 2567 เพื่อดูแลเงินเฟ้อที่ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นให้อยู่ภายในกรอบเป้าหมายและเอื้อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวกลับเข้าสู่แนวโน้มระยะยาว รวมถึงยังเป็นการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนธันวาคม 2566 สูงกว่า 3 ล้านคนคาดภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับดีขึ้นต่อเนื่อง และยังได้ปัจจัยบวกเพิ่มจากมาตรการ Visa-Free ระหว่างไทย-จีน กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬารายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนธันวาคม 2566 มีจำนวน 3.2 ล้านคน สูงสุดนับตั้งแต่มีการเปิดประเทศหลังจากการระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ทั้งปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม กว่า 28 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 11.2 ล้านคน ในปี 2565
สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย ,จีน ,เกาหลีใต้ ,อินเดีย และรัสเซีย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดสำคัญทยอยฟื้นตัวกลับสู่ระดับช่วงก่อนเกิดการระบาดแล้ว ได้แก่ มาเลเซีย 108% เทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ,รัสเซีย 100% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้และอินเดียเกือบใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด หรือสูงกว่า 80%
ขณะที่นักท่องเที่ยวจากจีนยังฟื้นตัวช้าอยู่ ทำให้ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2566 แม้จะได้ตามเป้าหมายที่ทางการตั้งเป้าไว้ และคิดเป็น 70% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาด แต่ทางด้านรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่1.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 63% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาด ซึ่งต่ำกว่าที่ทางการตั้งเป้าไว้ที่ 1.6 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ดี คาดว่าแรงส่งจากภาคท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้นจะยังมีต่อเนื่องในช่วงต้นปี รวมถึงปัจจัยบวกเพิ่มเติมล่าสุดรัฐบาลไทยเผยว่าเตรียมจัดทำความตกลงระหว่างไทยและจีนว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกัน (Visa-Free) เพื่อสนับสนุนให้การเดินทางไปมาระหว่างกันเกิดความราบรื่น
ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 ซึ่งจะช่วยให้การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนมีความต่อเนื่องหลังจากมาตรการ Visa-Free แก่นักท่องเที่ยวจีนเป็นการชั่วคราวจะสิ้นสุดในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
อย่างไรก็ดี มองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 35.6 ล้านคน จาก 28 ล้านคนในปี 2566 โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนธันวาคมปีก่อนติดลบมากสุดในรอบ 34 เดือน คาดเงินเฟ้ออาจกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงกลางปี
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนธันวาคมยังคงติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ -0.83% YoY จาก -0.44% ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิงและค่ากระแสไฟฟ้า ตามมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพด้านพลังงาน รวมทั้งการปรับลดลงของราคาในกลุ่มผักสด เนื้อสัตว์ และเครื่องประกอบอาหาร
ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.58% เท่ากับเดือนพฤศจิกายน สำหรับทั้งปี 2566 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.23% และ 1.27% ชะลอลงจากปี 2565 ที่ 6.08% และ 2.51% ตามลำดับ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงต้นปีนี้ยังคงมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องอยู่ เนื่องจากการต่ออายุมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรออกไปอีก 3 เดือนเป็นสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2567 และการตรึงค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 300 หน่วยต่อเดือนในงวดบิลเดือนมกราคม-เมษายน