ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในทุกมุมโลกเป็นความท้าทายสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข แต่การจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ จำเป็นต้องอาศัยเงินทุนจำนวนมหาศาล ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
การก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญของภาคการเงิน ในฐานะ "ผู้สนับสนุนการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม" ผ่านการจัดสรรเงินทุนเพื่อการพัฒนาโลกสู่เศรษฐกิจสีเขียว หรือที่เรียกว่า "Green Financing" สามารถช่วยอำนวยความสะดวก สร้างแรงจูงใจ และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในโครงการหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดปัญหาและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ข้อมูลความสำคัญและแนวโน้มของ Green Financing ในอนาคตของ "วิจัยกรุงศรี" มีความน่าสนใจในประเด็นกระเเสตอบรับการจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งเเวดล้อม
กระแสตอบรับการจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Financing)
สถานการณ์ระดับโลก
หลายปีที่ผ่านมา การจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Financing ได้รับความสนใจอย่างมากในระดับโลก ปี 2565 มูลค่าการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลกสูงถึง 487.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปีเดียวกัน ปรับตัวลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน และการดำเนินนโยบายการเงินแบบหดตัวในหลายประเทศ
เมื่อพิจารณาช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า การออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลกมีมูลค่าอยู่ที่ 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย สถาบันการเงินภาคเอกชน (Financial corporate) เป็นผู้ออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่สำคัญ โดยในช่วงปี 2557-2565 ได้ออกตราสารหนี้ในสัดส่วนเกินกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในตลาดโลก
เม็ดเงินการระดมทุนด้วยตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในปี 2565 ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในโครงการด้านพลังงาน (Energy) สูงที่สุดร้อยละ 33 รองลงมา โครงการด้านสิ่งปลูกสร้าง (Building) ร้อยละ 25 และโครงการด้านการคมนาคม (Transport) ร้อยละ 19
BNP Paribas ประเมินว่า การออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลกทั้งปี 2566 จะมีมูลค่าราว 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟื้นตัวจากปี 2565 และจะมีมูลค่าสูงกว่าปี 2564 จากที่ผู้คนทั่วโลกต้องการให้เกิดเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อมและเริ่มตระหนักถึงความหลากหลายด้านชีวภาพ
สอดคล้องกับที่บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) ประเมินว่า มูลค่าตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ออกจำหน่ายทั้งปี 2566 ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่ไม่นับรวมประเทศจีนจะเติบโตร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปี 2565
เครื่องมือการจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม สินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green loan)
ข้อมูลจาก The City UK ระบุว่า ปี 2564 มูลค่าของการปล่อยสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมของโลก (Global green lending) อยู่ที่ 78.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มูลค่าอยู่เพียงแค่ 432 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ช่วงปี 2560-2564 กลุ่มประเทศในยุโรปยังคงเป็นผู้นำในด้านการปล่อยสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ภูมิภาคอาเซียนมีสัดส่วนของมูลค่าการปล่อยสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมคิดเป็นร้อยละคิดเป็นร้อยละ 7.8 ของทั้งโลก แม้จะไม่สูงมากเท่ายุโรป แต่ก็ใกล้เคียงกับภูมิภาคอเมริกาเหนือที่มีสัดส่วนร้อยละ 9.2 และยังมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต
ความเคลื่อนไหวในประเทศไทย
ปี 2566 ตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ออกจำหน่ายในไทยมีมูลค่าอยู่ราว 3.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.3 ของมูลค่าการออกตราสารหนี้ของภาคเอกชนรวมทั้งหมด
เมื่อนับตั้งแต่ตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกจำหน่ายในไทยครั้งแรกในปี 2561 -2566 มูลค่าการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศไทยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.57 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 3.3 ของมูลค่าการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งหมด ใกล้เคียงกับสัดส่วนระดับโลก
การออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเพียงปี 2564 ที่มูลค่าดังกล่าวหดตัวเมื่อเทียบกับปี 2563 ผลจากการระบาดของโรคโควิด-19
หากพิจารณาการจัดสรรเงินทุนผ่านสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green loan) ในไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่ามูลค่าสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน จากที่มีมูลค่าราว 6.2 หมื่นล้านบาทในปี 2556 เติบโตขึ้นเป็น 9 หมื่นล้านบาทในปี 2563 สะท้อนว่านักลงทุน ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงินในไทย ตื่นตัวกับการจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม
การจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมในไทยยังมีโอกาสเติบโต
ปัจจัยสนับสนุนไม่ว่าจะเป็น นโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) คาดว่าจะมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของ GDP
ประเทศไทยในปี 2568 รวมถึงนโยบายเร่งเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low carbon society) มีส่วนช่วยผลักดันให้การจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมในไทยเติบโต ขณะเดียวกัน หน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินในไทย มีท่าทีและนโยบายที่ผลักดันให้เกิดการตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมเรื่องการเงินเพื่อความยั่งยืน
เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประกาศมาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย (Thailand Taxonomy) ระยะที่ 1 เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 เพื่อให้ รัฐ เอกชน สถาบันการเงิน นำไปใช้อ้างอิงในกระบวนการทำงาน การดำเนินธุรกิจ การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึง ก.ล.ต.ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นคำขออนุญาตและค่าธรรมเนียมการยื่นแบบการเสนอขายหรือไฟลิ่ง (Filing) สำหรับการออกเสนอขายตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนจนถึงเดือนพฤษภาคม 2568