ธปท.ผนึกแบงก์สู่ความยั่งยืน จี้ทำแผนลดคาร์บอนในพอร์ตสินเชื่อ

17 ก.ย. 2567 | 22:50 น.

ธปท.ผนึก 6 แบงก์ใหญ่ ทำแผนเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้ได้อย่างน้อย 1 ภาคเศรษฐกิจ ภายในสิ้นปี 68

ทั่วโลกรวมถึงไทยกำลังเผชิญปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เร่งตัวและส่งผลกระทบรุนแรงกว่าคาด เช่น น้ำท่วมรุนแรง โลกร้อนขึ้นมาก ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า หากไม่สามารถรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรง สิ่งมีชีวิตหลายประเภทจะสูญพันธุ์ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์

เรื่องสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว ทุกประเทศรวมถึงไทยต้องตั้งเป้าและดำเนินการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศได้ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050

มีการใช้มาตรการด้านการค้าระหว่างประเทศด้วย เช่น มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่จะจัดเก็บภาษีก๊าซเรือนกระจกก่อนข้ามพรมแดนสำหรับสินค้านำเข้า ซึ่งอาจกระทบผู้ส่งออกไทยรวมถึง SMEs ที่ยังไม่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซฯ จากการผลิตได้

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การดำเนินการในเรื่องการเงินเพื่อความยั่งยืนต้องอาศัย green ecosystem ที่เหมาะสม ต้องเริ่มตั้งแต่การวางรากฐานและใช้เวลาในการพัฒนา 

ธปท.ผนึกแบงก์สู่ความยั่งยืน จี้ทำแผนลดคาร์บอนในพอร์ตสินเชื่อ

ในส่วนของการวางรากฐานสำหรับภาคสถาบันการเงิน ธปท.ได้ออกแนวนโยบายเรื่องการดำเนินธุรกิจสถาบันการเงิน โดยคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อกุมภาพันธ์ 2566 เพื่อสื่อสารความคาดหวังให้สถาบันการเงินผนวกการประเมินโอกาสและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ

ซึ่งหนึ่งในกระบวนการที่สำคัญ คือ การกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพอร์ตสินเชื่อและการลงทุนที่มีนัยสำคัญ รวมถึงการมีผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้าอย่างเป็นรูปธรรม

"สถาบันการเงินส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานเพื่อผนวกเรื่องนี้เข้าไป โดยธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้เริ่มมีการกำหนดและประกาศเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อสีเขียวไปบ้างแล้ว ซึ่ง ธปท. มีกำหนดการที่จะให้สถาบันการเงินประเมินตนเองพร้อมระบุแผนในการปิด gap และส่งข้อมูลดังกล่าวกลับมายัง ธปท. ช่วงต้นปี 2568”

นอกจากนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับสถาบันการเงินในส่วนนี้ ธปท.ได้หารือกับธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ(D-SIBs) 6แห่ง และ non D-SIBs ที่สนใจ ให้เริ่มจัดทำแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในส่วนของการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจ (transition plan ของ สง.)

โดยเฉพาะการตั้งเป้าหมายและมีแผนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้ (scope 3 - financed emissions) โดยคาดหวัง ให้เริ่มจัดทำให้แล้วเสร็จอย่างน้อย 1 ภาคเศรษฐกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงหรือที่มีนัยสำคัญต่อพอร์ตสินเชื่อของสถาบันการเงินภายในสิ้นปี 2568

ขณะเดียวกัน ธปท.เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีผลิตภัณฑ์สนับสนุนเงินทุนให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs มีการปรับตัวอย่างเป็นรูปธรรมและเหมาะกับบริบทไทย ที่โครงสร้างเศรษฐกิจเป็น brown ในสัดส่วนที่สูง มีความเปราะบางต่อภัยธรรมชาติ และ SMEs ซึ่งเป็นรากฐานเศรษฐกิจไทย ยังไม่พร้อมและไม่สามารถปรับตัวด้วยอัตราความเร็วเดียวกันกับรายใหญ่ได้

ธปท. จึงร่วมกับสถาบันการเงิน ซึ่งมีความใกล้ชิดและรู้จักลูกค้า ผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การปรับตัวในบริบทไทย โดยปีนี้ได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ที่สนใจ 8 แห่ง ริเริ่มโครงการ Financing the transition ซึ่่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อและบริการที่ช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจที่ตอบโจทย์บริบทไทย 

โดยเน้นสนับสนุนธุรกิจปรับตัวจาก brown เป็น less brown โดยครอบคลุมภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยที่มีความจำเป็นต้องปรับตัว เช่น ภาคการผลิต ภาคก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร ภาคโรงแรม และตอบโจทย์การปรับตัว SMEs ที่อาจต้องเริ่มจากการปรับตัวก้าวเล็กๆ ก่อน 

เช่น สามารถเริ่มจากการปรับเปลี่ยนกิจกรรมหรืออุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน โดยกำหนดตัวชี้วัดที่เหมาะกับกิจกรรมปรับตัวในช่วงเริ่มต้น โดยไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบตามมาตรฐานสากล  สนับสนุนให้เกิดลูกค้าปรับตัวอย่างจริงจังและขยายผลไปยังลูกค้ารายอื่นที่คล้ายกันได้ โดยผลิตภัณฑ์สินเชื่อมีเงื่อนไขที่เหมาะสมและจูงใจให้ลูกค้าปรับตัวให้เกิดผลจริง และสามารถรองรับลูกค้าที่ต้องการปรับตัวในกิจกรรมคล้ายกันได้ 

สำหรับประเทศที่มีบริบทใกล้เคียงกับไทยและมีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังคือ มาเลเซีย เนื่องจากมาเลเซียยังมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นสีน้ำตาลสูง เช่น ภาคอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ไฟฟ้าและภาคปิโตรเคมีคอลและพลังงาน และมี SMEs จำนวนมากที่ยังไม่พร้อมปรับตัวคล้ายไทย 

ภายใต้การผสมผสานความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคการเงิน และภาคธุรกิจเอกชน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์การปรับตัวของภาคเศรษฐกิจที่สำคัญและ SMEs อย่างครบวงจร เช่น

  1. ภาครัฐมีแผนและการจัดสรรงบประมาณตามทิศทางประเทศด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน 
  2. ภาคธุรกิจเอกชนและภาคการเงินร่วมกันพัฒนา data platform กลางสำหรับให้ธุรกิจขนาดใหญ่และ SMEs ใน supply chain ของบริษัทขนาดใหญ่ส่งข้อมูลและคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกิจการ และนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อได้สะดวกครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งานและไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับ SMEs และสามารถส่งข้อมูลให้ สง. ใช้พิจารณาสินเชื่อ green / transition ได้สะดวก
  3. ภาครัฐและภาคการเงินร่วมกันผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่สนับสนุน SMEs ปรับตัวที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษและได้รับการสนับสนุน credit guarantee จากหน่วยงานภาครัฐ 

“การผสมผสานแรงผลักจากภาครัฐและแรงสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆของมาเลเซีย เพื่อสนับสนุนภาคเศรษฐกิจสำคัญและ SMEs ปรับตัวอย่างครบวงจร น่าจะสามารถนำมาปรับใช้กับไทยได้”นายรณดลกล่าว 

  1. พรบ. Climate change ที่อยู่ระหว่างผลักดันน่าจะช่วยทำให้มีแผนการดำเนินการในเรื่องนี้ของประเทศที่ชัดเจนขึ้น 
  2. Data platform สำหรับการรายงาน GHG emission ที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เริ่มพัฒนาไปแล้ว น่าจะสามารถพัฒนาต่อยอดร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็น data platform กลางที่ตอบโจทย์ได้ครบวงจรมากขึ้น
  3. มาตรการสนับสนุนและจูงใจให้ SMEs ปรับตัวที่ผสมผสานความร่วมมือระหว่างภาคการเงินและภาครัฐ เช่น สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อการปรับตัวของ SMEs ซึ่งได้รับการสนับสนุนการค้ำประกันความเสี่ยงด้านเครดิตดจากภาครัฐ และการสนับสนุนเงินทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากภาครัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศ

 

หน้า 1  หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,028 วันที่ 19 - 21 กันยายน พ.ศ. 2567