นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาตหรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3/67 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 5,229.77 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 494.88 ล้านบาท หรือ 10.45% ส่งผลให้งวด 9 เดือนปี 2567 มีกำไรสุทธิรวม 15,919.03 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2,323.34 ล้านบาทหรือ 17.09%
ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 โดยรวมถือว่า เป็นไปตามเป้าหมาย ปัจจัยหนุนหลักยังคงเป็นเรื่องของการบริหารจัดการด้านต้นทุนใน 3 ส่วนหลักได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นด้านต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน และต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ
ด้านต้นทุนทางการเงิน ธนาคารได้ดำเนินการบริหารพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สินในเชิงรุกผ่านหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างสินเชื่อให้มีความเหมาะสม การเติบโตเงินฝากให้สมดุลกับแนวโน้มด้านสินเชื่อ รวมถึงการปรับกลยุทธ์พอร์ตเงินลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนและให้ได้รับประโยชน์ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดเงิน
ส่วนของต้นทุนการดำเนินงาน ธนาคารยังเน้นย้ำการมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย เน้นการลงทุนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์และการยกระดับการให้บริการลูกค้า นอกจากนั้นยังคงเดินหน้าพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลและเพิ่มความสามารถใหม่ๆ ในโมบายแอปพลิเคชัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งเป็นผลดีต่อโครงสร้างต้นทุนการให้บริการ ส่งผลให้สามารถบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย
สำหรับการบริหารต้นทุนความเสี่ยง ธนาคารยังคงเน้นย้ำการเติบโตสินเชื่อใหม่อย่างมีคุณภาพ ด้วยการต่อยอดแนวคิด Ecosystem Play ผนวกกับจุดแข็งจากความชำนาญและความเป็นผู้นำตลาด ในการนำเสนอสินเชื่อให้กับกลุ่มคนมีบ้าน กลุ่มคนมีรถ และกลุ่มพนักงานเงินเดือน ซึ่งธนาคารเข้าใจความต้องการและความเสี่ยงของลูกค้าเป็นอย่างดี
ธนาคารยังคงเดินหน้าดูแลลูกค้าตามแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) และการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของภาครัฐ โดยมีโครงการรวบหนี้ (Debt Consolidation) ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่เราดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ในระยะยาว
“ปัจจุบันมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการนี้กว่า 31,000 ราย เพิ่มขึ้นจากระดับ 17,000 ราย ณ สิ้นปีที่แล้ว ซึ่งธนาคารสามารถช่วยลูกค้ากลุ่มดังกล่าวลดภาระดอกเบี้ยได้กว่า 1,900 ล้านบาท”
สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 1,253 พันล้านบาท ชะลอลง 5.7% จากสิ้นปี 2566 (YTD) เป็นไปตามแนวทางการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ โดยสินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้านแลกเงิน (+10% YTD) สินเชื่อรถแลกเงิน (+6% YTD) และสินเชื่อบุคคล (+9% YTD)
ทั้งนี้ การลดลงของสินเชื่อรวมมีสาเหตุหลัก จากการชำระคืนหนี้ของกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ การชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดรถยนต์ที่ยังคงซบเซาและการบริหารหนี้เสียเชิงรุกผ่านการขายและตัดหนี้สูญ (Write off) ทำให้ยอดหนี้เสียลดลง 2% YTD
เงินฝาก อยู่ที่ 1,296 พันล้านบาท ลดลง 6.5% YTD เป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่องและเพื่อให้สมดุลกับแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อใหม่ที่ยังคงชะลอตัว เงินฝากที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเงินฝากต้นทุนสูง ขณะที่เงินฝากจากลูกค้ารายย่อยยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง เช่น เงินฝาก ttb all free ที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านการทำธุรกรรมและประกันอุบัติเหตุ
ทั้งนี้ แม้เงินฝากลดลงแต่สภาพคล่องของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) ที่อยู่ที่ 97% ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ธนาคารได้ขยายเงินฝากกว่า 4.3% ตั้งแต่ในไตรมาส 4 ปี 2566 เพื่อเตรียมไว้ล่วงหน้าสำหรับการดำเนินงานในปี 2567 ทำให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารต้นทุนทางการเงินเป็นอย่างดี
การบริหารจัดการหนี้เสีย ธนาคารเน้นจากการบริหารกระบวนการลดหนี้เสียผ่านการขายและการ Write off อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ 40,224 ล้านบาท ลดลง 2% YTD หรือคิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ที่ 2.7% ซึ่งถือว่า อยู่ในระดับต่ำ ด้านอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังอยู่ในระดับสูงที่ 149% เป็นไปตามเป้าหมาย
"ช่วงที่เหลือของปี ธนาคารยังเน้นย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอน"
อย่างไรก็ดีด้วยสถานะทางการเงินในปัจจุบันที่มีความแข็งแกร่งในทุกมิติ จึงเชื่อมั่นว่าทีทีบีมีความพร้อมที่จะรับมือกับปัจจัยต่าง ๆ และสามารถสานต่อพันธกิจที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายได้ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้