ปี 2566 ตลาดหุ้นโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัว นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐและญี่ปุ่น หลังจากที่ปีก่อนหน้าตลาดหุ้นมีความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งปัจจัยสนับสนุนสำคัญของการฟื้นตัวเกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจที่สามารถขยายตัวได้ดีกว่าคาด โอกาสเกิดภาวะถดถอยทยอยปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นเอเชียยังค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ได้สวยงามเหมือนที่หลายคนคาดการณ์ เช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้ที่มีความผันผวนสูงจากแรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ระดับสูง ทำให้ธนาคารกลางของประเทศหลักปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าปัจจัยเหล่านี้ จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่าง ๆ ในช่วงนี้ไปจนถึงปี 2567 ซึ่ง SCBAM จะสรุปถึง 5 ปัจจัยหลักที่แนะนำให้นักลงทุนติดตามกัน
ขณะที่ภาระดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตปรับตัวขึ้นมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคในระยะถัดไป นอกจากนี้ เศรษฐกิจฝั่งยูโรโซนยังคงอยู่ในภาวะหดตัวและมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ยังเป็นปัจจัยประกอบที่ต้องติดตาม เพราะอาจส่งผลกับการปรับตัวของราคาน้ำมันดิบและอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวสูงขึ้นอีกครั้งได้ ซึ่งนับเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
หาก Fed ยังต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงยาวนาน และการปรับลดดอกเบี้ยจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน หรือที่เรียกกันว่า “Higher for Longer” (วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสิ้นสุดและถูกคงไว้ระดับสูงต่อไปอีกระยะ) ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจจะทรงตัวในระดับสูงต่อไป ขณะที่การส่งสัญญาณ Hawkish ของ Fed มีส่วนผลักดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (Dollar Index) มีความผันผวน เป็นลบต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มักจะเคลื่อนไหวสวนทางกับ Dollar Index
นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลด้านอุปสงค์-อุปทานด้านความต้องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลลดลง จากการที่ Fed ดึงสภาพคล่องออกจากระบบด้วยนโยบาย Quantitative Tightening (QT) ขณะที่ ฝั่งอุปทาน (Supply) เพิ่มขึ้น เพราะกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เร่งปริมาณการออกพันธบัตรมากขึ้น
การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลครั้งนี้ ส่งผลโดยตรงและทำให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นมีความน่าสนใจน้อยลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าในระยะถัดไปจะเริ่มเห็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ชะลอการปรับขึ้นหรือเริ่มปรับลง ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นนี้น่าจะช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้นเช่นกัน
รวมถึงการลงทุนที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจากการที่เศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ จึงส่งผลกระทบทางอ้อมมาสู่ประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจค่อนข้างมากกับจีน ทั้งในด้านของการเป็นคู่ค้าและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง จึงอาจทำให้มีโอกาสที่บรรยากาศการลงทุนจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้
ไต้หวันถูกจัดเป็นประเทศห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ และเป็นตลาดหุ้นที่สำคัญในกลุ่มประเทศเอเชีย สำหรับอีกหนุ่งเหตุการณ์ที่นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตามอง คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนได้ในหลายๆ แง่มุม ตั้งแต่นโยบายการใช้จ่ายภาครัฐ นโยบายภาษี และนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะท่าทีของสหรัฐฯ ที่มองจีนเป็นภัยคุกคามทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร
จาก 5 ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าหากเรามองไปในระยะข้างหน้า จะเห็นความท้าทายยังคงมีอยู่ การลงทุนจึงต้องวางแผนการลงทุนด้วยความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ดี การลงทุนระยะยาวจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากความผันผวนในระยะสั้นได้ รวมถึงการจัดพอร์ตลงทุนในแบบกระจายความเสี่ยงจะช่วยให้นักลงทุนรับมือกับสถานการณ์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้