ส่องพอร์ตหุ้น“แอ๊ด คาราบาว” หรือ ยืนยง โอภากุล ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตระดับตำนานของประเทศไทย หลังตกเป็นข่าวปมถล่มผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี บนเวทีคอนเสิร์ต ที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อคืนวันที่ 12 ต.ค. จากกรณีที่ “วงคาราบาว” ไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตในงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ประจำปี 2565
หากพูดถึงฐานธุรกิจใหญ่สุดของ "แอ๊ด คาราบาว" และครอบครัว "โอภากุล" คงไม่พ้น บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG เพราะถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจาก บริษัท เสถียรธรรมโฮลดิ้ง จำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 สัดส่วน 25.01% และอันดับ 2 คือ น.ส.ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ ถือสัดส่วน 21.00%
CBG ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2544 และจดทะเบียนกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2557 ประกอบธุรกิจเป็น "Holding Company" ซึ่งมีการลงทุนหลักในบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจ ผลิต ทำการตลาด จำหน่าย และบริหารจัดการ การจัดจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลังและเครื่องดื่มอื่น ๆ อย่างครบวงจร ภายใต้เครื่องหมายการค้า"คาราบาวแดง"
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับของ CBG พบว่าครอบครัว "โอภาสกุล" ถือหุ้นรวมกัน 129,660,600 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 12.97% ของทุนจดทะเบียน และเมื่อคำนวณจากราคาหุ้น CBG ปิดการซื้อขายเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2565 ที่หุ้นละ 83.75 บาท ครอบครัว "โอภากุล" จะมูลค่าพอร์ตที่ถือถึง 10,859.08 ล้านบาท ประกอบด้วย
แอ๊ด คาราบาว ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 3 จำนวน 70,480,000 หุ้น สัดส่วน 7.05% มูลค่า 5,902.70 ล้านบาท
นาง ลินจง โอภากุล (ภรรยา) ถือหุ้นอันดับที่ 6 จำนวน 26,166,900 หุ้น สัดส่วน 2.62% คิดเป็นมูลค่า 2,191.48 ล้านบาท
น.ส.ณิชา โอภากุล (บุตรสาว) ถือหุ้นอันดับที่ 9 จำนวน 17,794,600 หุ้น สัดส่วน 1.78% มูลค่า 1,490.30 ล้านบาท
นาย วรมัน โอภากุล (บุตรชาย) ถือหุ้นอันดับที่ 10 จำนวน 15,219,100 หุ้น สัดส่วน 1.52% มูลค่าหุ้นที่ถือ 1,274.60 ล้านบาท
หรือกล่าวสรุปได้ว่าในช่วงเวลา 8 ปีที่หุ้น CBG เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าพอร์ตที่ "แอ๊ด คาราบาว" และครอบครัว "โอภากุล" ถือมูลค่าเพิ่มขึ้นรวมกัน 5,742.60 ล้านบาท เป็น 10,859.08 ล้านบาทในปัจจุบัน ความมั่งคั่งโตเพิ่มเท่าตัว
สำหรับผลประกอบการของ บริษัท คาราบาวกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ( CBG ) งวด 6 เดือนแรกของปี 2565 (ณ 30 มิ.ย.65) บริษัทฯ มีรายได้รวม 10,141.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,041.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.45% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่มีรายได้รวม 9,099.83 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทฯ 6 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 1,402.71 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.40 บาท ลดลง 15.85% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 1,666.89 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.67 บาท