"ฐานเศรษฐกิจ" รวบรวมการเคลื่อนไหวหุ้น บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ล่าสุดข้อมูลจาก ก.ล.ต. ตามรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้บริหาร( แบบ 59 ) พบว่า ผู้บริหาร KLINIQ ขายหุ้นออกมา นับจากเปิดเทรดวันแรก ( 7 พ.ย.65 ) รายละเอียดดังนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้แจ้งการลาออกของกรรมการ คือ นายเฉลิมชัย ทองวัฒน์ มีผลตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.65
ขณะที่การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น KLINIQ ปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ ( 15 พ.ย.65 ) อยู่ที่ 35.00 บาท ลดลง 4.00 บาท จากราคาปิดวานนี้ หรือลดลง 10.26% มูลค่าซื้อขาย 559.79 ล้านบาท โดยราคาปรับสูงสุดที่ 36.50 บาท และต่ำสุดที่ 34.00 บาท
โดยราคาหุ้น KLINIQ ปิดตัวในแดนลบตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 2565 และปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน หลังจากเข้าเทรดได้เพียง 7 วัน และนับจากปิดเทรดวันแรก เมื่อวันที่ 7 พ.ย.65 ที่ราคา 41.50 บาท ถึงล่าสุดปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ ( 15 พ ย.65 ) ที่ 35.00 บาท ราคาปรับลดลง 6.50 บาท หรือ -15.66%
กำไรทุบสถิติ Q3/65 เติบโต 201%
ล่าสุด KLINIQ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/65 มีกำไรสุทธิ 44.53 ล้านบาท เทียบช่วงดียวกันของปีก่อน 14.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 201.49% ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปีนี้ กำไรสุทธิ 144.75 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 74.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.65%
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) เปิดเผยว่า กำไรงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ ถือว่าสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่ากำไรรวมทั้งปี 2564 และนับตั้งแต่จัดตั้งบริษัทฯ ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มธุรกิจที่พร้อมเติบโตอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องเมกะเทรนด์ ที่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและความงาม และจากแผนการขยายสาขาเพิ่ม จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้รายได้และกำไร สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
โดยกำไรที่เติบโตโดดเด่น เป็นผลมามาจากรายได้จากการขายและให้บริการ 432.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้จากการขายและให้บริการ 158.51 ล้านบาท เนื่องมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 และจากการสิ้นสุดคำสั่งปิดเมืองของทางภาครัฐในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยรายได้จากการขายคอร์สบริการที่เพิ่มสูงขึ้นใงวดนี้มาจากกลุ่ม Energy Based Devices (เลเซอร์) และกลุ่มยาฉีด (Filler, Botox) เป็นต้น รวมถึงรายได้จากศูนย์ศัลยกรรมที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดในปี 65