กูรูฟันธงปี 66 ปีทองหุ้นกู้ - จังหวะสะสมหุ้นขนาดเล็ก

22 พ.ย. 2565 | 01:25 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2565 | 09:05 น.

"จัดพอร์ตลงทุนทำกำไร 2023" กูรู ฟันธงปีทอง"หุ้นกู้" รับยีลด์ไม่น้อยกว่า 5-6% จังหวะเหมาะเก็บ"หุ้นขนาดเล็ก" เติบโตสูง "บลจ.ยูโอบี" มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแตะ 1800 จุด

 

งานสัมมนา “ WEALTH FORUM ลงทุนอย่างไรให้รวย #ปี 3 ซึ่งจัดโดย กรุงเทพธุรกิจ และ ฐานเศรษฐกิจ  ในหัวข้อ”จัดพอร์ตลงทุน ทำกำไร 2023” เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา 
 

 

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพใหญ่เศรษฐกิจปี 2566  เรามองว่าจะเกิด resession เศรษฐกิจสหรัฐคาดว่าจะติดลบ 0.5% ยุโรปน่าจะติดลบ 1% ดังนั้นการลงทุนในกลุ่มประเทศเหล่านี้ จึงมีโอกาสที่ระดับสินค้าหรือเงินเฟ้อจะปรับลง  นโยบายการเงินที่จะรับมือกับเงินเฟ้อเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายขึ้น  จึงเป็นโอกาสตรงนี้

 

จับตาจีนเปิดประเทศ- ญี่ปุ่นเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารกลาง

 

ส่วนในฝั่งเอเชียประเทศที่ต้องจับตาคือ "จีน และญี่ปุ่น" มองว่าการที่จีนจะเปิดเมืองหลังจากล็อกดาวน์โควิด ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการเปิดเมืองของจีนจะตามมาด้วยปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นการปรับขึ้นในช่วงที่ภาคอสังหาก็มีปัญหา  ขณะที่ญี่ปุ่น จุดสำคัญคือการเปลี่ยนนโยบายการเงิน จากการเปลี่ยน "ผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น " จึงอาจเห็นนโยบายการกระตุ้นตลาดเงิน-ตลาดทุนเกิดขึ้น

 

 

จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด

 

"ปีหน้ามองว่าไทยจะโดดเด่นมาก ๆ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตดีกว่าปีนี้ เงินเฟ้อมีโอกาสปรับตัวลง การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น มุมมองการลงทุนถือว่าดี  แต่ขึ้นระดับราคาของสินทรัพย์ว่าจะซื้อกันที่เท่าไร" 


 

อ่านเพิ่ม : จัดพอร์ตทำกำไรปี 66 "KS คัด 4 กลุ่มดาวเด่น - SCB แนะถือยาวตราสารหนี้ "

   

 

"เงินเฟ้อ-ดอลล์อ่อนค่า" สร้างโอกาสลงทุน

 

นายจิติพล กล่าวว่า การลงทุนในปีหน้าต้องมองถึงโอกาส จาก"เงินเฟ้อและเงินดอลลาร์"ที่เป็นกำลังจะลง เงินเฟ้อสหรัฐอาจปรับลงมาอยู่ระดับ 4-4.5% ข้อดีคือทำให้ธนาคารกลาง (เฟด) มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง และหากเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย เงินเฟ้อสหรัฐอาจปรับลงมาที่ 3% ส่งผลดีทำให้นโยบายการเงินสหรัฐมีโอกาสจะผ่อนคลายในครึ่งหลังของปีหน้า  เช่นเดียวกับเงินเฟ้อในหลายๆ ประเทศที่มีโอกาสปรับลงมาอยู่ระดับต่ำ ดังนั้นใครที่ยังระวังไม่กล้าลงทุนตราสารหนี้ในช่วงครึ่งแรก ครึ่งหลังต้องกล้าที่จะลงทุน

 

ส่วนค่าเงินดอลลาร์ บลจ.ยูโอบี  มองว่าดอกเบี้ยเฟดจะปรับขึ้นสูงสุดไปจบที่ 5.00-5.25%  ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ดอลลาร์จะปรับค่าลง และเทรนด์ดอลลาร์อ่อนค่าคาดว่าจะอยู่อีกนาน ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีโอกาสจะไหลออกสหรัฐไปยังตลาดเกิดใหม่ ( EM ) 

 

"จุดที่น่าลงทุน ถ้าลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ สิ่งที่ต้องระวังคือ กลุ่มประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก อย่างตลาดเกิดใหม่  EM ให้ผลตอบแทน 12-13% โดยเฉลี่ย ถือว่าผลตอบแทนน่าลงทุนมาก ๆ แต่ที่ต้องระวังคือเสถียรภาพ ต้องเลือกประเทศที่มีแข็งแกร่งพอที่สามารถจ่ายผลตอบแทนในระดับ 12% โดยที่เศรษฐกิจยังอยู่ได้ "    

 

ลุ้นหุ้นไทยแตะ1800 จุด- "ทองคำ" ฟื้น  

 

ในฝั่งของไทยมีจุดอ่อนตรงที่ เราไม่ได้ขยับดอกเบี้ยขึ้นความเสี่ยงจึงอยู่ที่การปรับดอกเบี้ยขึ้น  ขณะที่ฝั่งเอเชียมีจุดเด่นตรงการฟื้นตัวในช่วงแรก ซึ่งมองว่าหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap ) ยังมีโอกาสเติบโตในทุกที่ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือในสหรัฐที่มีโอกาสฟื้น   

 

 

 

สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ( SET Index ) มีโอกาสฟื้นแตะ 1800  จุด เช่นเดียวกับ ดัชนี S&P500 ที่อาจปรับขึ้นแตะ 4,500 จุด ขณะที่ดอกเบี้ยไทยมองว่าขึ้นเต็มที่สูงสุดไม่เกิน 1.75%  ส่วน"เงินบาท" มีโอกาสกลับไปแข็งค่าที่ 34 บาท/ดอลลาร์   ดังนั้นมีโอกาสสูงที่"ทองคำ"จะกลับมาฟื้นตัว

 

"ปีหน้ามีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอย แต่เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุน จึงต้องปรับพอร์ตให้ดี  ซื้อทรัพย์สินที่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้จากการรีบาวด์ของเศรษฐกิจรอบนี้" 

 

 

ประมุข มาลาสิทธิ์  HEAD of CIO Office ธนาคารกรุงไทย

 

ด้านนายประมุข มาลาสิทธิ์  HEAD of CIO Office ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ค่าเฉลี่ยการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 66 คาดอยู่ที่ 2% จากภาวะปกติที่โตเฉลี่ย 3.5% ถือว่าห่างค่อนข้างมาก และยังประสบปัญหาในเรื่องซัพพลายเซน โดย ณ ปัจจุบันสินค้าคงเหลือปรับสูงสุดในรอบ 25 ปี ซึ่งจะส่งผลต่อการลดราคา ทำให้รายได้บริษัทโดยทั่วไปอาจปรับลดลง  ส่วนอัตราเงินเฟ้อแม้จะพีคไปแล้วในปีนี้ แต่อาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับเงินเฟ้อให้อยู่ระดับระดับ 2%   ขณะที่เศรษฐกิจจีนแม้จะฟื้นตัวแต่ยังไม่สมบูรณ์คาดว่าปีหน้าจะขยายตัวที่ 4.5% จากที่รัฐบาลต้องการเห็นขยาย 5% 

 

ปีทองของหุ้นกู้ -หุ้นขนาดเล็กได้ผลประโยชน์

 

ภาพการลงทุนในปีหน้า นายประมุข มองว่าเป็นปีทองของ"หุ้นกู้"  โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกแม้จะชะลอ แต่ไม่ได้วิกฤตและเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ดอกเบี้ยมีโอกาสสูง แต่ช่วงสิ้นปีคาดจะปรับตัวลดลง และ ณ ปัจจุบันกองทุนตราสารหนี้โลก ให้อัตราผลตอบแทนส่วนใหญ่ อยู่เกิน 10% 

 

"ถ้าเป็นกองทุนตราสารหนี้ แนะนำให้ลงทุนได้แล้ว ส่วนสินทรัพย์เสี่ยง"หุ้น" ให้ทะยอยสะสม โดยผลตอบแทนที่คาดหวังหากลงทุนตราสารหนี้เลย ผลตอบแทนจาก ดอกเบี้ย Yield Maturity  ส่วนใหญ่อยู่ที่ 10% หักปิดความเสี่ยงและค่าเงินแล้ว  ผลตอบแทนจะอยู่ที่ 5-6%  และถ้าปีหน้าเศรษฐกิจโลกชะลงลง เฟดเริ่มคัทดอกเบี้ย สเปรดปรับลดลง จะส่งผลดีต่อกองทุนตราสารหนี้โลก "  

 

ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง"หุ้น" นั้น นายประมุข บอกว่า มองในเชิงความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือสถานการณ์การเมืองในประเทศ  ธีมการลงทุน "หุ้นกลุ่มขนาดเล็ก"จะได้ผลประโยชน์มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เพราะหุ้นขนาดเล็กไม่ได้อยู่ในจุดสนใจในความขัดแย้งของแต่ละรัฐบาล และจะเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจในอนาคต

 

" ปีหน้า หุ้นเอเชียน่าสนใจ ส่วนหุ้นในตลาดพัฒนาทั้งในสหรัฐ หรือยุโรป โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ คาดยังปรับลงต่อจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นค่อนข้างแรง จุดต่ำสุดของดัชนี S&P500 คาดจะสามารถปรับไปที่ระดับ 3,600 จุด ซึ่งนักลงทุนสามารถทะยอยสะสมได้ "