งานสัมมนา “ WEALTH FORUM ลงทุนอย่างไรให้รวย #ปี 3 ซึ่งจัดโดย กรุงเทพธุรกิจ และ ฐานเศรษฐกิจ ในหัวข้อ”จัดพอร์ตลงทุน ทำกำไร 2023” เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพใหญ่เศรษฐกิจปี 2566 เรามองว่าจะเกิด resession เศรษฐกิจสหรัฐคาดว่าจะติดลบ 0.5% ยุโรปน่าจะติดลบ 1% ดังนั้นการลงทุนในกลุ่มประเทศเหล่านี้ จึงมีโอกาสที่ระดับสินค้าหรือเงินเฟ้อจะปรับลง นโยบายการเงินที่จะรับมือกับเงินเฟ้อเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายขึ้น จึงเป็นโอกาสตรงนี้
จับตาจีนเปิดประเทศ- ญี่ปุ่นเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารกลาง
ส่วนในฝั่งเอเชียประเทศที่ต้องจับตาคือ "จีน และญี่ปุ่น" มองว่าการที่จีนจะเปิดเมืองหลังจากล็อกดาวน์โควิด ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการเปิดเมืองของจีนจะตามมาด้วยปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นการปรับขึ้นในช่วงที่ภาคอสังหาก็มีปัญหา ขณะที่ญี่ปุ่น จุดสำคัญคือการเปลี่ยนนโยบายการเงิน จากการเปลี่ยน "ผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น " จึงอาจเห็นนโยบายการกระตุ้นตลาดเงิน-ตลาดทุนเกิดขึ้น
"ปีหน้ามองว่าไทยจะโดดเด่นมาก ๆ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตดีกว่าปีนี้ เงินเฟ้อมีโอกาสปรับตัวลง การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น มุมมองการลงทุนถือว่าดี แต่ขึ้นระดับราคาของสินทรัพย์ว่าจะซื้อกันที่เท่าไร"
อ่านเพิ่ม : จัดพอร์ตทำกำไรปี 66 "KS คัด 4 กลุ่มดาวเด่น - SCB แนะถือยาวตราสารหนี้ "
"เงินเฟ้อ-ดอลล์อ่อนค่า" สร้างโอกาสลงทุน
นายจิติพล กล่าวว่า การลงทุนในปีหน้าต้องมองถึงโอกาส จาก"เงินเฟ้อและเงินดอลลาร์"ที่เป็นกำลังจะลง เงินเฟ้อสหรัฐอาจปรับลงมาอยู่ระดับ 4-4.5% ข้อดีคือทำให้ธนาคารกลาง (เฟด) มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง และหากเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย เงินเฟ้อสหรัฐอาจปรับลงมาที่ 3% ส่งผลดีทำให้นโยบายการเงินสหรัฐมีโอกาสจะผ่อนคลายในครึ่งหลังของปีหน้า เช่นเดียวกับเงินเฟ้อในหลายๆ ประเทศที่มีโอกาสปรับลงมาอยู่ระดับต่ำ ดังนั้นใครที่ยังระวังไม่กล้าลงทุนตราสารหนี้ในช่วงครึ่งแรก ครึ่งหลังต้องกล้าที่จะลงทุน
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ บลจ.ยูโอบี มองว่าดอกเบี้ยเฟดจะปรับขึ้นสูงสุดไปจบที่ 5.00-5.25% ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ดอลลาร์จะปรับค่าลง และเทรนด์ดอลลาร์อ่อนค่าคาดว่าจะอยู่อีกนาน ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีโอกาสจะไหลออกสหรัฐไปยังตลาดเกิดใหม่ ( EM )
"จุดที่น่าลงทุน ถ้าลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ สิ่งที่ต้องระวังคือ กลุ่มประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก อย่างตลาดเกิดใหม่ EM ให้ผลตอบแทน 12-13% โดยเฉลี่ย ถือว่าผลตอบแทนน่าลงทุนมาก ๆ แต่ที่ต้องระวังคือเสถียรภาพ ต้องเลือกประเทศที่มีแข็งแกร่งพอที่สามารถจ่ายผลตอบแทนในระดับ 12% โดยที่เศรษฐกิจยังอยู่ได้ "
ลุ้นหุ้นไทยแตะ1800 จุด- "ทองคำ" ฟื้น
ในฝั่งของไทยมีจุดอ่อนตรงที่ เราไม่ได้ขยับดอกเบี้ยขึ้นความเสี่ยงจึงอยู่ที่การปรับดอกเบี้ยขึ้น ขณะที่ฝั่งเอเชียมีจุดเด่นตรงการฟื้นตัวในช่วงแรก ซึ่งมองว่าหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap ) ยังมีโอกาสเติบโตในทุกที่ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือในสหรัฐที่มีโอกาสฟื้น
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ( SET Index ) มีโอกาสฟื้นแตะ 1800 จุด เช่นเดียวกับ ดัชนี S&P500 ที่อาจปรับขึ้นแตะ 4,500 จุด ขณะที่ดอกเบี้ยไทยมองว่าขึ้นเต็มที่สูงสุดไม่เกิน 1.75% ส่วน"เงินบาท" มีโอกาสกลับไปแข็งค่าที่ 34 บาท/ดอลลาร์ ดังนั้นมีโอกาสสูงที่"ทองคำ"จะกลับมาฟื้นตัว
"ปีหน้ามีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอย แต่เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุน จึงต้องปรับพอร์ตให้ดี ซื้อทรัพย์สินที่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้จากการรีบาวด์ของเศรษฐกิจรอบนี้"
ด้านนายประมุข มาลาสิทธิ์ HEAD of CIO Office ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ค่าเฉลี่ยการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 66 คาดอยู่ที่ 2% จากภาวะปกติที่โตเฉลี่ย 3.5% ถือว่าห่างค่อนข้างมาก และยังประสบปัญหาในเรื่องซัพพลายเซน โดย ณ ปัจจุบันสินค้าคงเหลือปรับสูงสุดในรอบ 25 ปี ซึ่งจะส่งผลต่อการลดราคา ทำให้รายได้บริษัทโดยทั่วไปอาจปรับลดลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อแม้จะพีคไปแล้วในปีนี้ แต่อาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับเงินเฟ้อให้อยู่ระดับระดับ 2% ขณะที่เศรษฐกิจจีนแม้จะฟื้นตัวแต่ยังไม่สมบูรณ์คาดว่าปีหน้าจะขยายตัวที่ 4.5% จากที่รัฐบาลต้องการเห็นขยาย 5%
ปีทองของหุ้นกู้ -หุ้นขนาดเล็กได้ผลประโยชน์
ภาพการลงทุนในปีหน้า นายประมุข มองว่าเป็นปีทองของ"หุ้นกู้" โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกแม้จะชะลอ แต่ไม่ได้วิกฤตและเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ดอกเบี้ยมีโอกาสสูง แต่ช่วงสิ้นปีคาดจะปรับตัวลดลง และ ณ ปัจจุบันกองทุนตราสารหนี้โลก ให้อัตราผลตอบแทนส่วนใหญ่ อยู่เกิน 10%
"ถ้าเป็นกองทุนตราสารหนี้ แนะนำให้ลงทุนได้แล้ว ส่วนสินทรัพย์เสี่ยง"หุ้น" ให้ทะยอยสะสม โดยผลตอบแทนที่คาดหวังหากลงทุนตราสารหนี้เลย ผลตอบแทนจาก ดอกเบี้ย Yield Maturity ส่วนใหญ่อยู่ที่ 10% หักปิดความเสี่ยงและค่าเงินแล้ว ผลตอบแทนจะอยู่ที่ 5-6% และถ้าปีหน้าเศรษฐกิจโลกชะลงลง เฟดเริ่มคัทดอกเบี้ย สเปรดปรับลดลง จะส่งผลดีต่อกองทุนตราสารหนี้โลก "
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง"หุ้น" นั้น นายประมุข บอกว่า มองในเชิงความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือสถานการณ์การเมืองในประเทศ ธีมการลงทุน "หุ้นกลุ่มขนาดเล็ก"จะได้ผลประโยชน์มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เพราะหุ้นขนาดเล็กไม่ได้อยู่ในจุดสนใจในความขัดแย้งของแต่ละรัฐบาล และจะเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจในอนาคต
" ปีหน้า หุ้นเอเชียน่าสนใจ ส่วนหุ้นในตลาดพัฒนาทั้งในสหรัฐ หรือยุโรป โดยเฉพาะตลาดสหรัฐ คาดยังปรับลงต่อจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นค่อนข้างแรง จุดต่ำสุดของดัชนี S&P500 คาดจะสามารถปรับไปที่ระดับ 3,600 จุด ซึ่งนักลงทุนสามารถทะยอยสะสมได้ "