หุ้นไทยปี 2566 ยังเผชิญปัจจัยเสี่ยง ทั้งในเรื่องเงินเฟ้อแม้จะผ่านจุดพีคส่งผลให้ดอกเบี้ยเฟดมีโอกาสปรับขึ้นไปถึงไตรมาส 1/66 ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ความตึงเครียดระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งป็นผลจากการใช้ยาแรงเศรษฐกิจ และยังเป็นปีที่ไทยเก็บภาษีขายหุ้นคาดจะเริ่มในเดือน พ.ค. 2566
ส่วนปัจจัยหนุนหุ้นไทยปี 2566 คือการที่ดอกเบี้ยเข้าสู่จุดพีคแล้ว และการที่เศรษฐกิจหลายประเทศเริ่มชะลอ ส่งผลให้เอื้อต่อการใช้นโยบายการเงิน ตลอดจนผลจากเปิดประเทศของไทย ซึ่งจะหนุนการท่องเที่ยว และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด หรือ KS คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด )จะขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับสูงสุดในเดือนมี.ค.ปีหน้าที่ระดับ 5.00 -5.25% ส่วนไทย ธปท.คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายในกลางปีหน้า จึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย
นอกจากนี้ยังมองว่าการตลาดหุ้นไทยกับจีนจะเป็น 2 ตลาดที่ยัง outperform ดึงดูดให้ทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ ( EM )
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย จำกัด ประเมินดัชนีหุ้นไทย (SET Index ) 6 เดือนข้างหน้ามีโอกาสไซด์เวย์ +/-บริเวณ 1740 จุด คาดจะเห็นก่อนในช่วงเดือน มี.ค.66 ระหว่างนี้จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะเริ่มสะสมหุ้นไทย แต่หลังจากนั้นให้ทะยอยขายทำกำไร เชื่อว่าดัชนี SET จะไปไกลกว่านั้น แนะให้กลับมาลงทุน"ทองคำ"และหุ้นในตลาดแนสแด็ก (NASDAQ ) แทน
หุ้น 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่ KS มองว่าเป็นโอกาสในหน้า คือ 1.ธุรกิจเสริมสวยความงาม 2. ธุรกิจอาหารสัตว์ 3.ธุรกิจเทคคอนเซาท์ และ 4 .ธุรกิจโรงไฟฟ้า
สอดคล้องกับ บล.ทิสโก้ มองว่าตลาดหุ้นในปีหน้าให้น้ำหนักมากขึ้น กับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่หลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ยาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ราคาหุ้นจะตอบสนองล่วงหน้าด้วยการปรับตัวลงก่อนประมาณ 6 เดือน หากอิงการปรับฐานลงครั้งใหญ่ของราคาหุ้นในอดีตเทียบกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน นักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนมากเป็นพิเศษตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง 2566 เป็นต้นไป
ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ยังมองหุ้นไทยเชิงบวกจากโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง โอกาสเกิดการเลือกตั้ง และคาดหวังจีนจะทยอยเปิดประเทศ โดยคาด SET Index มีโอกาสที่จะขึ้นทะลุระดับ 1700 จุด ก่อนที่จะปรับตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง
บล.ทิสโก้ ได้ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาด (SET EPS) ปี 2565- 2566 เป็น 96 บาท (จากเดิม 99.9 บาท) และ 99.5 บาท (จากเดิม 103.8 บาท ) ตามลำดับ ส่งผลให้เป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2565 อยู่ที่ระดับ 1650 จุด (จากเดิมที่ 1,700 จุด) และสิ้นปี 2566 ที่ระดับ 1590 จุด (จากเดิมที่ 1,680 จุด ) และปรับระดับ P/E ที่เหมาะสมลงจาก 16.6 เท่า เป็น 15.4 เท่า เพื่อสะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยและรัฐเตรียมเก็บภาษีการขายหุ้น
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2566 ยังเป็นบวกโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรก โดยได้แรงหนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่มีทิศทางฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และความหวังว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดด การเลือกตั้งของไทยที่จะมีขึ้นในปีหน้า และโฟลว์ที่มีทิศทางเป็นบวกต่อเนื่องยาวไปจนถึงช่วงไตรมาสแรก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
โดยมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2566 มีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 1,690 -1,750 จุดได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก หลังจากนั้นยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงเรื่องการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศพัฒนาแล้ว
บล.เอเซีย พลัส (ASPS) มองว่าตลาดหุ้นปี 2566 มีความเสี่ยง จากผลกระทบของเกิด Recession ชัดเจนมากขึ้น ทั้งจากการเกิด Inverted Yield Curve ของพันธบัตรอายุ10 ปี และ 2 ปีของสหรัฐฯ ที่ยาวนาน ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2566 คาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 แต่อัตราการเติบโตจะไม่เท่ากับปีนี้
ASPS ประเมินอัตราการเติบโตกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปีหน้าที่ระดับ 5-6% ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ไม่น่าจะมากนัก โดยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันได้เพียง 5-6% เท่านั้น