ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,147.25 จุด ลดลง 73.55 จุด หรือ -0.22%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,839.50 จุด ลดลง 9.78 จุด หรือ -0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,466.48 จุด ลดลง 11.61 จุด หรือ -0.11%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 0.2%, ดัชนี S&P500 ลดลง 0.1% และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.3% และในรอบปีนี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วง 8.8%, ดัชนี S&P500 ร่วง 19.4% และดัชนี Nasdaq ร่วง 33.1%
ดัชนีทั้ง 3 ตัวปิดตลาดร่วงลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2565 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2561 โดยถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980
แซม สโตวอลล์ หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านการลงทุนของซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ชระบุว่า ตลาดถูกกดดันจากปัจจัยลบต่าง ๆ อาทิ ภาวะชะงักงันด้านห่วงโซ่อุปทานที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563, การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ยังระบุถึงปัจจัยลบต่างๆ ซึ่งได้แก่ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงภาวะถดถอย, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งรวมถึงสงครามยูเครน ตลอดจนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นในจีน และความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวัน
หุ้นเติบโต (growth stocks) เผชิญแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นเกือบตลอดทั้งปี 2565 และปรับตัวย่ำแย่กว่าหุ้นคุณค่า (value stocks) ที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งนับเป็นแนวโน้มที่พลิกผันจากที่เคยดำเนินมาเป็นส่วนใหญ่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
หุ้นเติบโตในดัชนี S&P500 ร่วงลงราว 30.5% ในปีนี้ ขณะที่หุ้นคุณค่า ลดลง 7.7% โดยนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงและผลประกอบการที่มั่นคง อาทิ กลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น 58% ในปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น
หุ้นกลุ่มสื่อสารเป็นกลุ่มที่ทรุดตัวลงหนักที่สุดในปีนี้ โดยดิ่งลงกว่า 40%
ส่วนหุ้น 10 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดลดลงในวันศุกร์ นำโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสาธารณูปโภค
บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 ท่ามกลางความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตาม สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐได้ทำให้เกิดความวิตกว่า อัตราดอกเบี้ยอาจยังคงปรับขึ้นต่อไป แม้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงได้เพิ่มความหวังเกี่ยวกับการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ตลาดการเงินคาดว่า มีโอกาส 65% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.พ. และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ 4.97% ในช่วงกลางปี 2566
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 2 ม.ค. 2566 เนื่องในวันปีใหม่ และจะเปิดทำการตามปกติในวันที่ 3 ม.ค.