นายคิมห์ สิริทวีชัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2565 เริ่มดีขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง และการผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตามยังคงมีผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อรวมถึงราคาพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงความเสี่ยงอื่นๆ อาทิ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำใหผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการใช้จ่าย ส่งผลให้รายได้ ของธุรกิจในกลุ่มอินทัชในปี 2565 เติบโตไม่มากนัก ในขณะที่ต้นทุนโดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภคสูงขึ้นมาก ทำให้กำไรสุทธิของอินทัชลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน
ในปี 2565 กลุ่มอินทัชมีกำไรสุทธิรวม 10,533 ล้านบาท ลดลง 2% จากปีก่อนที่มีกำไร 10,748.22 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของส่วนแบ่งผลกำไรจากเอไอเอส ส่วนใหญ่เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนโครงข่ายจากการเพิ่มขึ้น ของค่าไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายทางการตลาดสุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการหลัก
ทุ่มงบ 5 พันล้านปันผลอีก 1.56 บาท
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) มีมติเสนอการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 ในอัตรา 4.72 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินประมาณ 15,135.57 ล้านบาท โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2565 แล้ว ในอัตรา 3.16 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 10,133.13 ล้านบาท คงเหลือที่จะจ่ายในอัตรา 1.56 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 5,002.43 ล้านบาท บริษัทจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 เมษายน 2566
โดยธุรกิจเอไอเอส ยังคงมุ่งเน้นการนำเสนอประสบการณ์ในการใช้บริการที่ดีให้แก่ลูกค้า ณ สิ้น ปี 2565 โครงข่าย 5G ของ เอไอเอส มีความครอบคลุมกว่า 85% ของประชากรในประเทศ และมีผู้ใช้บริการ 5G 6.8 ล้านราย หรือประมาณ 15% ของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมในส่วนของบริการอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงและบริการลูกค้าองค์กร ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง ณ สิ้นปี 2565 มีจำนวน 2.2 ล้านราย เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน จากการมุ่งเน้น การทำตลาดแบบ FMC (Fixed-Mobile-Content Convergence) และมุ่งเน้นในการเป็นผู้นำในด้านคุณภาพ
ทั้งนี้ในปี 2565 เอไอเอสได้ประกาศจะเข้าซื้อกิจการ บริษัท ทริปเปิลทรี บรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต (3BB) และ เข้าซื้อ หน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) ในสัดส่วน 19% โดย AWN ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของเอไอเอสที่ดำเนินธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้าน โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างกระบวนการขออนุญาตจาก กสทช. ซึ่งคาดว่าการเข้าทำรายการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นไตรมาส 2/2566
อย่างไรก็ดี INTUCH มีนโยบายมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนการลงทุนในโครงการร่วมลงทุน (โครงการอินเว้นท์) และทำให้ในปีนี้บริษัทจำหน่ายเงินลงทุนในสตาร์ทอัพในโครงการอินเว้นท์ จำนวน 10 แห่ง มีผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 1.85 เท่าของเงินลงทุน
โดย ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีสตาร์ทอัพ ภายใต้โครงการอินเว้นท์ จำนวน 6 บริษัทได้แก่ บริษัท อุ๊คบี จำกัด บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท เพียร์ พาวเวอร์ จำกัด บริษัท โคนิเคิล จำกัด บริษัท พาโรนิม จำกัด และบริษัท อีคมอเมิร์ซ เอ็นเนเบลอส์ พีทีอี ลิมิเต็ด
นอกจากนี้ บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับโทรคมนาคม เทคโนโลยี และดิจิทัล หรือธุรกิจอื่นๆ ที่มีโอกาสเติบโต มีรายได้และกำไรที่สม่ำเสมอ เพื่อสร้างความเติบโตและผลตอบแทนที่ยั่งยืน