นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC แจ้งผลประกอบการปี 2565 ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ผลประกอบการปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 678,267 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อนขณะที่ปี 2565 มีผลขาดทุนสุทธิ 8,752 ล้านบาท ลดลง 119% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44,982 ล้านบาท
โดยรายได้ที่ปรับเพิ่มขึ้น มีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นจากการเปิดประเทศทั่วโลก ทำให้ความต้องการในการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ปรับตัว ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในปีนี้ปรับตัวขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ยังมีการรับรู้ผลประกอบการของ allnex เข้ามาเต็มปี
โดยในปี 2565 บริษัทมี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 49,134 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 13% จากปีก่อนหน้า ตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ปรับลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีขั้นกลางและกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ขณะที่อุปสงค์ได้รับผลกระทบจากทั้งมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน การเข้ามาของกำลังการผลิตใหม่ในตลาด รวมถึงความกังวลต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลก
บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่น ๆ) ในปีนี้อยู่ที่ 18,984 ล้านบาท
ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครนได้ส่งผลกระทบต่อความผันผวนอย่างรุนแรงของทั้งราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทำให้ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/2565 บริษัทจึงมีการบันทึกผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงในปีนี้จำนวน 23,057 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่ทำประกันความเสี่ยงไว้
โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net NRV) รวม 3,657 ล้านบาท ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวมเป็นขาดทุน 313 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทมีส่วนแบ่งเงินกำไรจากเงินลงทุนที่รับรู้ในปีนี้จำนวน 2,908 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลงในปีนี้ ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทมีการบันทึกรายการพิเศษรวม 893 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/2565 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 124,780 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 31% จากไตรมาส 3/2565 และปรับตัวลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้รวมปรับตัวลดลงโดยมีสาเหตุหลักจากหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงกลั่นฯ เป็นเวลา 49 วัน ในไตรมาสนี้
ประกอบกับอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนตัวทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง โดยในไตรมาสนี้บริษัทมี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 3,459 ล้านบาท ปรับตัวลดลงทั้งจากไตรมาส 3/2565 และไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 67% และ 66% ตามลำดับ ตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ปรับลดลง ส่งผลให้ในไตรมาส 4/2565 บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 968 ล้านบาท ลดลง 130% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,248 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้น 93% จากไตรมาสก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 13,384 ล้านบาท ทั้งนี้ในไตรมาส 4/2565 บริษัทมีการบันทึกรายการพิเศษอื่น ๆ รวม 1,744 ล้านบาท
แนวโน้มปี 66 คาดดีมานด์ยังเติบโต
ขณะที่ แนวโน้มปี 2566 คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปีนี้ มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากในปี 2565 ที่ส่วนต่างราคาอยู่ในระดับสูงจากอุปทานที่ตึงตัว เป็นผลของสถานการณ์ความขัดแย้งในทวีปยุโรป ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินการยังคงบริหารจัดการรูปแบบการผลิต และสัญญาขายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยบริษัทคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นฯ ในปี 2566 อยู่ที่ 101%
ส่วนผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงอะโรเมติกส์ บริษัทคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปีนี้จะทรงตัวอยู่ที่ 300-340 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยยังคงมีอุปทานจากผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาในตลาด แต่คาดการณ์อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมปลายน้ำ เส้นใยและสิ่งทอ (Fiber Filament) กรดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์ (PTA) โดยเฉพาะขวดบรรจุภัณฑ์ (PET Bottle Resin) ยังคงได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
รวมถึงอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและการเดินทางระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนจากการเปิดประเทศของประเทศจีน สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 220-250 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยยังคงได้รับการสนับสนุนจากกำลังการผลิตใหม่ของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น ฟีนอล แต่ยังมีปัจจัยกดดันจากกำลังการผลิตใหม่และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กดดันตลาดปลายทาง ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงอะโรเมติกส์ในปี 2566 อยู่ที่ 90% เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงอะโรเมติกส์ในช่วงไตรมาส 3/2566
นอกจากนี้ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงโอเลฟินส์ บริษัทคาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนจะอยู่ที่ 960-990 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาผลิตภัณฑ์โพรพิลีนจะอยู่ที่ 960-990 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยจะยังได้รับความกดดันจากอุปทานใหม่ที่จะเข้ามาในตลาด โดยเฉพาะจากประเทศจีน ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในปี 2566 อยู่ที่ 85% เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการปรับปรุงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/2 ในไตรมาส 1/2566 และการปิดซ่อมตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 1 ในไตรมาส 3/2566
ด้านความคืบหน้าโครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง โดยได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ได้แก่ บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงประเภท High Heat Resistant Polyamide-9T (PA9T) กำลังการผลิตที่ 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) กำลังการผลิตที่ 16,000 ตันต่อปี คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/2566 ส่วนโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) ซึ่งจะทำให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ของบริษัทสามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัท ในการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/2566
ปันผลอีก 0.25 บาท ขึ้น XD 27 ก.พ.
คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัตินำกำไรสะสมจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล ในวันที่ 28 ก.พ.2566 ขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิปันผล 27 ก.พ.และจ่ายเงินปันผลวันที่ 26 เม.ย.2566 จากงวดระหว่างกาลจ่ายไปแล้ว 0.75 บาท รวมทั้งปี 2565 จ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นหุ้นละ 1 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 4,509 ล้านบาท