ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,045.09 จุด ลดลง 84.50 จุด หรือ -0.26%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,991.05 จุด ลดลง 6.29 จุด หรือ -0.16% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,507.07 จุด เพิ่มขึ้น 14.77 จุด หรือ +0.13%
เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 31 ม.ค. - 1 ก.พ. โดยระบุว่า กรรมการเฟดมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าระดับเป้าหมาย 2% ของเฟด และตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวมาก ด้วยเหตุนี้เฟดควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้ออยู่ในทิศทางขาลงจนแตะระดับเป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าควรจะชะลอความแรงในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ โดยปรับขึ้นเพียง 0.25% แต่ถึงกระนั้นก็ตาม กรรมการเฟดมองว่าความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อสูงนั้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในวันข้างหน้า และเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
เอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์จากบริษัท Oanda กล่าวว่า แม้รายงานการประชุมครั้งล่าสุดแทบจะไม่แตกต่างจากที่ผู้ว่าการเฟดและประธานเฟดสาขาต่างๆได้แสดงความเห็นไว้ก่อนหน้านี้ แต่รายงานการประชุมก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แม้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอยก็ตาม
อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 ปรับตัวลงไม่มากนัก ขณะที่ Nasdaq สามารถไต่ระดับขึ้นจนปิดในแดนบวกได้ ต่างจากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาซึ่งดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีร่วงลงกว่า 2% ซึ่งเป็นการดิ่งลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2565
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 1.02% และดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง 0.8% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุดีดตัวขึ้น 0.67% และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวขึ้น 0.52%
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 7 เนื่องจากราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและอุปสงค์พลังงาน โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 1.17% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 1.31% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.41% หุ้นออคซิเดนเชียล ปิโตรเลีย ดิ่งลง 2.34% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 1.9%
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2565 (ประมาณการครั้งที่ 2) ส่วนในวันพรุ่งนี้จะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนม.ค., ยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน